ผมเป็น Adobe User มาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ยุคที่ใช้แอพของ Adobe แบบเถื่อน ๆ ซึ่งในยุคนั้นเป็นเรื่องปกติ (ที่ไม่ปกติ) มาก ๆ ซึ่งแอพที่ใช้แรก ๆ เป็น Photoshop เวอร์ชั่น 3 ตอนที่โลโก้แอพยังเป็นดวงตาอยู่ แต่แอพที่ผมใช้บ่อยมาก คือ Adobe Illustrator เริ่มใช้ตั้งแต่เวอร์ชั่น 6 ซึ่งตอนนั้นใช้เป็นโลโก้หน้า Aphrodite จนถึงเวอร์ชั่น 10 แล้วเปลี่ยนมาเป็นโลโก้ดอกไม้ แล้วเหลือแค่ Ai ตั้งแต่ CS3 เป็นต้นมา
แต่ช่วงที่ผมใช้เวอร์ชั่นแท้ ก็เป็น License ของบริษัทแรกที่ผมทำครับ แล้วภาพลักษณ์ของแอพ Graphic คือต้อง Adobe Illustrator อย่างเดียว แอพอื่น ยังไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร และตอนนั้นผมคิดถึงแต่แอพนี้ แอพนี้ แล้วก็แอพนี้
จนกระทั่ง ผมลาออกจากงาน แล้วทำงานธุรกิจของตัวเอง ถอย Mac Mini M1 เพื่อมาทำงาน Graphic โดยเฉพาะ แล้วกำลังมองหาแอพสาย Graphic ที่ใช้่งานได้ดี และซื้อขาด ซึ่งตอนนี้ผมไม่ได้ใช้ License ของบริษัทแล้ว ถ้าเช่ารายเดือนด้วยตนเอง ราคาแอบแรงอยู่
อีกอย่างคือ แอพของ Adobe ในตอนนี้ยังไม่เป็น Apple Silicon Native ทำให้การทำงานอาจจะช้าบ้าง และไม่เป็นไปตามที่ต้องการ สุดท้ายมาเจอ Affinity ครับ
เหตุผลที่ย้ายค่ายมา Affinity
ราคาแบบซื้อขาด
อันนี้เป็นเหตุผลแรก ๆ ที่ผมซื้อแอพของ Affinity เลยครับ และช่วงที่ผมสนใจก็เป็นช่วงที่ลดราคาด้วย แล้วลดโหด 50% ทุกแอพ ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญที่มองหาแอพตัวตายตัวแทนทั้ง Photoshop กับ Illustrator เลย ซึ่งแม้ว่าทาง Affinity จะให้ลองใช้งานถึง 90 วัน แต่สุดท้าย ผมกดซื้อเลยครับ เพราะไม่รู้ว่า ช่วงลด 50% จะมาอีกตอนไหน ตอนนี้ลด เราก็ซื้อไปก่อน ส่วนแอพที่ไม่ได้ซื้อคือ Affintiy Publisher เหตุผลคือ ตัวผมไม่ได้ทำงานด้าน Graphic Designer สาย Artwork (พวกจัดหน้าปก) แล้ว ส่วนใหญ่เป็นงานสายสร้างสรรค์ทั้งนั้น ซึ่งสายจัด Artwork ก็ใช้ Affintiy Designer ด้วย
Affinity ทำตัวเหมือนเป็น Dev สุด Exclusive ของ Apple

จริง ๆ แอพของ Affintiy มีเวอร์ชั่น Windows ด้วย และราคาก็เท่ากัน แต่สุดท้าย หลาย ๆ คนก็ใช้ฝั่ง Adobe มากกว่า เนื่องจากคนเรียนสาย Graphic เติบโตมากับแอพของ Adobe ตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว หรือบางทีเวลาเราซื้อคอมใหม่ ๆ หรือล้างเครื่อง Windows ทางช่างก็จะลงแอพของ Adobe เถื่อน ๆ โดยไม่รู้ตัว
ซึ่ง Affinity จริง ๆ เคลื่อนไหวตั้งแต่แอพใน iPad แล้ว โดยแอพ Affinity Designer เป็นหนึ่งในแอพสาย Vector ใน iPad ที่ทำงานได้ดีระดับมืออาชีพมาก ๆ จน ณ ตอนนี้ ถ้าจะซื้อ iPad เพื่อทำงานอย่างมืออาชีพก็สามารถทำได้แล้ว จนนักเรียนบางคนเลือกซื้อ iPad เอาไว้เรียนไปเลย
และในเมื่อ Affinity มีประสบการณ์ในการทำ App ฝั่ง iPad พอสมควร พอ Mac เปลี่ยนผ่านมาใช้ชิป M1 ก็สบายเค้าล่ะ จัดการ Port แอพของตัวเองและใช้ Engine ที่เข้ากับ Apple Silicon ทำออกมาเป็นแอพในเครือ Affintiy ที่ใช้ชิป M1 อย่างสมบูรณ์แบบ ผลที่ตามมาคือ ประสิทธิภาพในการใช้งานอยู่ในระดับเร็วมาก ๆ อย่างน่าตกใจ และประทับใจที่ใช้เลย ทั้ง Affintiy Designer และ Affinity Photo
แอพของ Affinity ใช้ Apple Silicon M1

อันนี้เป็นอีกเหตุผลที่เพิ่งรู้หลังจากที่สั่งซื้อ License ครับ พอไปเช็คใน Activity Monitor โอ้โห โป๊ะเชะ คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ไปสายของ Affinity เพราะตอนนี้ Adobe ทำแอพออกมาอัพเดทจาก Intel มา Apple ช้าอยู่ แต่ในปัจจุบัน ทาง Adobe ก็ทยอยทำเรื่อย ๆ ล่าสุด Photoshop เป็น Apple Silicon Native เรียบร้อยแล้ว แต่แอพสาย Vector ที่ผมใช้ประจำอย่าง Illustrator ตอนนี้ยังไม่มาเต็มที่
ซึ่งการแปลงจาก Intel มาเป็น Apple ในมุมมองของ Dev ค่อนข้างยากเอาเรื่องครับ แต่คงใช้เวลาไม่ถึงปีกว่าจะเปลี่ยนผ่าน แต่ที่ผมเป็นห่วงเลยคือ OBS หรือ Streamlabs แอพสตรีมเกมของผม เมื่อไรจะเป็น Apple Silicon Native สักที ทุกวันนี้ยังเป็น Intel อยู่เลย
แอพของ Affinity มีอะไรดี

Concept ของ Affinity คือ “ความง่าย” สไตล์ Apple ผมไม่รู้ว่า Dev ของ Affintiy เค้าเอาวิสัยทัศน์ของ Apple มาใช้หรือเปล่า แต่การใช้งานแอพเหล่านี้รู้สึกว่ามันง่ายจัง แต่ถ้าเป็น Affintiy Designer แอพ Vector แล้วมาใช้ Workflow แบบ Illustrator อันนี้จะยากหน่อย ต้องเรียนรู้ความเป็นแอพ Affintiy Designer ใหม่หมดเลย แต่ถ้าเข้าใจแอพนี้ จะพบว่า Workflow การทำงานของ Affintiy Designer เรียบง่ายเอาเรื่อง แต่จบเร็วไหม ขึ้นอยู่กับงาน ถ้าเป็นงานสาย Apply (ทำไฟล์ Digtal เพื่อขายใน Digital Marketplace) จะยากนิดนึง เพราะดันไปตกม้าตายตรง Pathfinder ที่สู้ Illustrator ไม่ได้ มันไม่หลากหลาย ผมต้องกดหลายรอบถึงจะเป็นได้อย่างที่ต้องการ
แต่สำหรับคนทำ Vector Art แอพนี้กินขาด และโคตรจะกินขาดเลยครับ เพราะสามารถใช้ Raster Layer ได้ด้วย ผสมกันระหว่างความเป็น Vector และ Raster อีกอย่าง แอพนี้ทำ Pixel Art ได้ด้วย เครื่องมือคือพร้อมเอาเรื่อง ชอบเลยครับกด
อีกอย่างที่เป็นข้อพิจารณา คือเรื่องของความจำกัดในการใช้งาน ที่ถ้าใช้สุด ๆ อาจจะไม่เท่า Illustrator แต่ถ้ารู้จักเรียนรู้และพลิกแพลงการใช้งานของ Affinitiy Designer ได้ สุดท้าย เรื่องของ performance ที่เข้ากับ Apple Silicon กินขาดครับ
คราวนี้มาพูดถึง Affintiy Photo กันบ้างครับ แอพนี้เป็นแอพที่ดีเลยทีเดียว สามารถแทน Photoshop ได้เลย เพราะส่วนใหญ่เวลาผมจะเล่นไฟล์ raw ผมจะขุด Highlight กับ Shadow ซึ่งแอพนี้ขุดโหดมาก ผมตกใจเลย ขุดโหดยิ่งกว่า Lightroom หรือ Capture One จนเอา Capture One ที่ผมเสียเป็นรายเดือนรู้สึกหงอ และไม่คุ้มขึ้นมาทันที รู้สึกเสียดายเงินเลย
ส่วนการปรับแต่งสีของ Affintiy Photo ผมว่าโหดพอ ๆ กับ Capture One แต่เรื่องของความไล่ระดับ Capture One ทำได้ดีกว่า เพราะแก้ไขที่ไฟล์ Raw เลย แต่ Affintiy Photo เวลาแก้พวกโทน จะแก้ได้ตอนที่ Develop ไฟล์เรียบร้อยแล้ว ทำให้เวลาปรับแต่งอะไรก็ตาม ความรู้สึกเหมือนปรับแต่งกับภาพ 8 Bit แต่อย่างน้อยก็ดีที่เราขุด Highlight กับ Shadow ตอนยังเป็นไฟล์ Raw อยู่
และอีกอย่าง แอพนี้ทำให้ไฟล์ Raw ของ Apple ProRAW ใช้งานได้จริงจังเลยทีเดียว แต่ถ้าจะใช้งานมืออาชีพที่ใช้ความละเอียดสูง ๆ เยอะ ๆ อาจจะไม่เหมาะเท่าไร เพราะความละเอียดของภาพค่อนข้างน้อย ถ้าเทียบกับกล้องในยุคนี้ อย่างมากก็เอาไว้ทำเป็น Content Creator ที่ลงเป็น Content ตามอินเตอร์เน็ต หรือถ้าจะ Print ก็ Print กับบิลบอร์ดใหญ่ ๆ ไปเลย ถ้าใช้กับบิลบอร์ดที่เขียนว่า “ถ่ายด้วย iPhone คือโคตรเหมาะ 5555”
และจะกลับมาใช้ Adobe อีกไหม
ตอนนี้ขอคิดก่อน เหตุผลเป็นเรื่องของราคา คือถ้าใช้เซต Photoshop & Lightroom จ่ายรายเดือนเดือนละ 300 กว่าบาท อันนี้ผมเอานะ แต่พอเลือกเป็น Illustrator ซึ่งราคาพุ่งไป 700 กว่าบาทต่อเดือน ผมเลยเมินหน้าหนี และหาแอพที่ราคาถูกกว่าดีกว่า ซึ่งหลัง ๆ มา แอพสายสร้างสรรค์ในปัจจุบันก็มีเยอะมากขึ้น และไม่ได้ลงแค่ใน PC อย่างเดียวเท่านั้น ยังลง iPad อีก ซึ่งตอนนี้ วงการธุรกิจ Software สายสร้างสรรค์เริ่มดุเดือดมากขึ้นแล้ว เพราะแต่ก่อน Adobe ทำตัวเป็น Monopoly อย่างเดียว ทำให้ราคาแพง และการอัพเดทอะไรก็ตามแต่มันค่อนข้าง Minor Upgrade ซึ่งดีกับผู้ใช้เดิม แต่ดูไปดูมา มันก็ไม่ได้เกิด Innovation อะไรขนาดนั้น แถมราคาก็เยอะอยู่ ซึ่งตอนนี้ Adobe ควรทำแอพของตัวเองให้ Support กับ Apple Silicon ให้ได้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที
งานนี้ วงการ Software สายสร้างสรรค์แข่งกันมันแน่นอนครับ
แต่อย่าเพิ่งประมาท Adobe ไป
เพราะ Adobe ก็เป็น Partner กับ Apple ตั้งแต่ยุคเครื่อง Macintosh เก่า ๆ อยู่ อย่าลืมว่าแอพต่าง ๆ ของ Adobe เริ่มต้นด้วยเครื่อง Macintosh รุ่นเก่า ๆ โน่น ซึ่งทาง Adobe ก็ต้องถึบตัวเองให้เร็ว ๆ เพื่อสู้กับแอพอื่น ๆ ได้ดีกว่าเดิม
แต่ถามว่าต้องตอนไหนเหรอ ไม่รู้
Leave a Reply