หลังจากรอมานานแสนนาน
มันคือมือถือในฝันของผมในช่วงนึง กว่าจะได้ต้องใช้เวลาสะสมเยอะมาก ๆ
ในยุคที่ทำงานประจำ การจะได้มือถือ iPhone จำเป็นต้องผ่อน และต้องทำบัตรเครดิต
แต่สำหรับผม ผมไม่ชอบการผ่อนด้วยดิ
แม้แต่ PlayStation 4 ก็ซื้อแบบไม่ผ่อน เน้นเก็บเงินเยอะ ๆ ไว้ก่อน
แต่มือถือไม่เคยได้ใช้ iPhone เลย
จนกระทั่ง iPhone ในปี 2020 ที่มีแวววว่า จะใช้ 5G
จากประสบการณ์ใช้มือถือที่ผ่านมา รู้สึกว่า อายุการใช้งานมือถือจะแตกต่างกัน
ตั้งแต่ที่ผมใช้มือถือที่เป็นแบรนด์เนม และใช้มือถือที่แพงขึ้น พบว่า อายุการใช้งานมันเริ่มเยอะกว่าเดิม
มือถือแรกที่ผมใช้ คือ i-mobile I style รุ่นอะไรไม่รู้ จำได้แต่ RAM แค่ 512MB ตอนนั้นยังเป็น Android 4 ธรรมดาอยู่เลย
แต่ใช้แค่ปีเดียวก็ไม่ได้ใช้อีก เพราะสเปคมันน้อยเกินไป
ต่อมาก็ i-mobile IQX3 ราคา 7,000 กว่าบาท ใช้แค่ปีเดียวก็เปลี่ยนเครื่อง เพราะ Chipset มันเริ่มกากในปีต่อไป
ถ้าสังเกตให้ดี ๆ ในยุค Android 4 มือถือจะเปลี่ยนปีละครั้ง เพราะตอนนั้น Android ยังไม่นิ่ง กว่าจะนิ่งก็ช่วง Android 7 เป็นต้นไป หรือ Android ที่มีโครงการ Android One

มือถือรุ่นต่อมา ยังใช้ชิปเซต Mediatek อย่าง Wiko Ridge ใช้ประมาณ 2 ปี นี่คือครั้งแรกที่มือถือของผมใช้เกิน 2 ปี
จนกระทั่งเปลี่ยนมือถือเป็น 4G อย่าง Meizu M3 Note ใช้ประมาณเกือบ ๆ 2 ปี เพราะรู้สึกว่ามือถือมันเริ่มมีปัญหา แต่ส่วนตัวชอบรุ่นนี้มาก เพราะแบตอืดดี
มือถือรุ่นต่อมาที่ใช้ ซึ่งมือถืออันนี้ปัจจุบันยังใช้อยู่ ถ้าถึงสิ้นปี มือถืออันนี้ใช้ครบรอบ 3 ปีแล้ว
มือถือที่ว่าคือ Mi A1 ของ Xiaomi ซึ่งมือถือ Mi A1 เป็นมือถือเครื่องแรกของผมที่ใช้ Snapdragon (625)
ซึ่งมือถือ Android ที่ใช้ Snapdragon ประสบการณ์ใช้งานแตกต่างจาก Mediatek พอสมควร
แถม Mi A1 เป็นมือถือในโครงการ Android One ทำให้การอัพเดทยาวนานถึง 2 ปี ซึ่งอัพเดทได้ถึง Android 9 (Pie)
แม้ว่าตอนนี้ Mi A1 ไม่ได้อัพเดทเป็น Android 10 แต่ Security Update ก็อัพเดทเรื่อย ๆ
แต่สิ่งที่ผมเจอกับ Mi A1 ตอนนี้คือ เครื่องเริ่มช้าแล้ว
อย่างตอนนี้ Twitter เริ่มกระตุกเวลาเลื่อนดู Tweet ต่าง ๆ
หรือบางทีเวลากดอะไรก็ตาม มันจะค้างประมาณ 10 วิ แล้วก็หาย
หรือเปิด Lazada สักพักก็ค้างและเลื่อนช้า
เหมือน App หลาย ๆ ตัวเริ่มกินสเปคแล้ว ทั้ง ๆ ที่มือถือของผม RAM ก็ 4GB
แต่ต้องเข้าใจว่า RAM ที่ใช้ตอนนี้ยัง DDR3 อยู่
ส่วนประวัติการใช้งาน ก็สมบุกสมบันเอาเรื่อง
ถ้านับดูการหล่น ก็ 5 ครั้ง
โชคดีที่หล่นแล้วจอไม่แตก 3 ครั้ง และหล่นจอไม่แตกที่หนักที่สุด คือ หล่นตอนขี่มอเตอร์ไซค์
จอไม่แตก แต่สัญญาณ WiFi กับ Bluetooth สั้นลงทันที
ส่วนหล่นจอแตก มี 2 รอบ คือตรงถนนเอกมัย และตรงบันไดเลื่อน EmQuartier
แต่เครื่องก็ยังใช้ได้อยู่ ไม่น่าเชื่อ มือถือ Mi A1 มันจะทนขนาดนี้
ทำไมถึงอยากจะใช้ iPhone
ความคิดซื้อของแต่ละอย่างตอนนี้เปลี่ยนไปครับ
ของบางอย่างซ่อมไม่ได้ ต้องซื้อใหม่อย่างเดียว
แต่ของบางอย่างสามารถซ่อมได้ และสามารถอยู่กับเราได้นาน ๆ
ซึ่งของที่สามารถซ่อมได้และอยู่กับเรานาน ๆ หนึ่งในนั้นคือ โทรศัพท์มือถือ
ซึ่งถ้าของอันไหนสามารถซ่อมได้ และสามารถอยู่ได้นาน ๆ ผมจะซื้อสินค้าที่ราคาสูง ๆ ไปเลย
แต่ปัจจัยที่ทำให้ของราคาสูง มันไม่ใช่แค่คุณภาพสินค้าเท่านั้น ยังต้องดูบริการหลังการขายด้วย
และดูเหมือนว่า บริการหลังการขายของ iPhone อยู่ในระดับที่ดีมาก ๆ
และยิ่ง Apple เปิด Store 2 แห่งแบบนี้ ทำให้ผมพร้อมใจจะซื้อ iPhone มากขึ้น
เอาจริง ๆ ก่อนหน้านั้น iPhone ที่ขายตาม iStudio เป็นของผู้ให้บริการเครือข่ายอีกที
ซึ่งชื่อเสียงก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ตอนนี้ Apple ขายเองแล้ว ทำให้ผมกลับมามอง Apple อีกครั้ง
เอาจริง ๆ เพราะเงินของผมที่หาได้มากกว่าตอนที่ทำงานประจำซะอีก ซึ่งพร้อมจะซื้อสดได้
ผมมีประสบการณ์ใช้สินค้าราคาสูงอยู่ อย่างกล้อง Sony a6000 ซึ่งผ่านไป 3 ปี เสีย 2 รอบ เข้าศูนย์ซ่อมและบริการค่อนข้างดี ไม่มีการทิ้งลูกค้า หรือปิดร้านหนี
แม้ว่าราคาสูง แต่อะไรหลาย ๆ อย่างก็ง่ายไปหมด
หรือ PlayStation 4 ของผมที่ตอนนี้ใช้งาน 6 ปี ยังไม่เสียเลย (แต่ DualShock4 เสียเอา ๆ ๆ)
ในขณะเดียวกัน มือถือที่ผมเคยใช้ ทำจอแตก แล้วส่งเข้าศูนย์ซ่อม ปรากฎว่า ต้องรอเป็นเดือนกว่าจะได้มือถือที่ซ่อมหน้าจอเสร็จ และศูนย์ซ่อมด้นไม่ได้อยู่ที่ไทย ดันอยู่ที่จีน
ซึ่งค่อนข้างเสียความรู้สึกพอสมควร สุดท้ายก็เปลี่ยนมือถือเป็น Mi A1 ในเวลาต่อมา
และปีนี้คาดว่าจะเปลี่ยนมาใช้ iPhone
สิ่งที่ผมชอบ iPhone คือเรื่องของการไม่ทิ้งลูกค้า อย่างบริการหลังการขาย (ที่มันจะแพงก็ตาม)
รวมไปถึงการอัพเดท iOS ที่หลัง ๆ มาเริ่มอัพเดทให้มากสุด 3-4 ปี
อีกทั้งระบบ iOS เองที่ไม่ได้ Multitasking จ่าแบบ Android ทำให้แอพแต่ละแอพทำงานอย่างเต็มที่
ที่ชอบที่สุด คืออุปกรณ์เสริมที่มีให้เลือกหลากหลายมาก
เมื่อก่อนเวลาไปร้านมือถือ จะเจอแต่เคสไอโฟน กระจกกันรอยไอโฟน ที่ชาร์จไอโฟน
หรือเวลาไปงาน Thailand Mobile Expo อุปกรณ์เสริมหลาย ๆ อย่างเทใจเพื่อ iPhone หมดเลย
อีกทั้งฟอนต์ภาษาไทยใน iPhone สวยกว่า Android อีก
สิ่งที่ต้องทำใจเวลาจะใช้ iPhone สำหรับผู้ใช้ใหม่ ๆ คือ เราต้องซื้ออุปกรณ์เสริมของ iPhone เพิ่มเติม
ถ้าเป็นสตรีมเมอร์ ตัวต่อ HDMI และมีที่ชาร์จต้องมาแล้ว และราคาก็แรง เป็น 1,000 กว่าบาท และควาทนทานสายก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเป็นอย่างไร
แม้ว่าข้อเสียของ iPhone จะมีอยู่
แต่ถ้าข้อเสียมันอยู่ในระดับที่รับได้ เราก็ซื้อไป
เพราะไม่มีอะไร Perfect ไปหมดจริง ๆ
iPhone ไม่ใช่มือถือที่หรูหรา แต่เป็นมือถือที่ Learning Curve ต่ำมาก
ผมเคยใช้ iPhone ของเพื่อนตอนเล่นเกมช่วงที่ทำงานด้วยกัน ซึ่งประสบการณ์ใช้งานใน iPhone คือดีมาก
Apple ยิ่งเป็นเจ้าแห่งการออกแบบ UX อยู่แล้ว
จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลาย ๆ ใช้ iPhone แล้วรู้สึกดีกว่ามือถือ Android รุ่นอื่น ๆ
หรือเปิดใจใช้ Android สุดท้ายก็กลับมาใช้ iPhone
เพราะมันใช้ง่ายสุด ก็ดูหรูนะ แต่ถ้าเทียบกับมือถือที่ติดแบรนด์ Supercar ความหรูหราของ iPhone ดรอปแบบโคตรดรอป
สุดท้ายแล้วเราต้องการใช้เครื่องมือที่ง่าย ๆ
ประมาณว่า หยิบแล้วไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม คือพร้อมใช้ทันที
ซึ่งประสบการณ์ที่ง่ายแบบนี้ ไม่ต่างจากการที่ผมชอบเล่นเกมในเครื่อง PS4
เพราะการบังคับ อยู่ใน DualShock 4 หมดแล้ว
แตกต่างจาก PC ตรงที่ Key mapping ของคีย์บอร์ดมันเยอะมากจนไม่รู้ว่าต้องกดอะไรตรงไหน
Leave a Reply