แม้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว
แต่คิดไปคิดมา มันก็น่าแชร์ให้น้อง ๆ จบใหม่ได้รู้ชีวิตของการทำงานประจำครับ
ไม่ว่าน้อง ๆ จะไฟแรง อยากจะทำธุรกิจของตัวเอง มี Connection ที่พร้อมจะสานต่อหรือทำธุรกิจของตัวเอง
แต่การเป็นพนักงานประจำสักครั้งในชีวิตทำให้เราเรียนรู้ชีวิตของการทำงานได้ดีเลยทีเดียว
มันเหมือนเราเข้าไปเรียนวิชาชีพที่มากกว่าการอยู่ในห้องเรียน
ยอมรับว่า ทั้งชีวิตไม่ควรอยู่กับการทำงานประจำเพียงอย่างเดียว
แต่ควรเอาไว้สำหรับช่วงที่เรียนจบใหม่เท่านั้นดีกว่า
เรื่องมนุษย์
มิตรภาพที่ยั่งยืน มีเฉพาะช่วงเรียนหนังสือเท่านั้น
พอหลังจากวัยเรียน เข้าสู่วัยทำงาน คนที่เข้ามามีเหตุผลของแต่ละคน
จำตอนเรียนกันได้ไหม เรารู้จักกับเพื่อนเพราะเข้าห้องเรียนเดียวกัน และสนิทกันเพราะเข้าด้วยกันได้
แต่พอทำงาน แต่ละคนที่เจอในที่ทำงานก็มีเหตุผลที่เข้ามาทำงานที่นี่
อย่างน้อยคือ “ทำงานเพื่อได้เงิน พอได้เงินก็เอาไปลงทุนหรือผ่อน หรือไม่ก็เก็บเงิน”
บางคนเข้ามาทำความรู้จัก พูดคุย ตอนแรกก็สนิทดี แต่พออยู่ไปนาน ๆ รู้สึกแปลก ๆ พอฟังคนเล่ากันต่อ ๆ รู้เลยว่าคนที่เข้ามาในเดือนแรก ๆ เข้ามาเพราะผลประโยชน์
หรือบางคนตัดสินเราที่การแต่งตัวและรูปลักษณ์ภายนอก
ช่วงที่ผมทำงานประจำ ผมเป็นหนึ่งในคนที่ใส่ชุด Uniform บริษัท เป็นเสื้อโปโลสีดำและสกีนโลโก้บริษัท
แต่เนื่องจากบริษัทที่ทำเป็นบริษัทขายคอนโด ทำให้ทีมเซลไม่ต้องใส่ชุด Uniform บริษัท แต่ต้องใส่สูทและเข็มกลัดของบริษัทเข้าไปด้วย (ซึ่งนี่ก็คือ Uniform ของเซล)
ปัญหาคือ ภาพลักษณ์ของผมดูไม่ดีในสายตาของเซล จากการทำงานของผม ไม่ว่ายกของจาก Office ไปที่สำนักงานขาย หรือรับบทเป็นช่าง IT ทั้ง ๆ ที่ผมเป็น Graphic Designer ซึ่งภาพลักษณ์ของผมดูไม่ดียิ่งกว่าเดิม
เอาจริง ๆ ไปโทษหน้าที่การงานหรือปัจจัยภายนอกอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะลองมาเช็คตัวเอง ตัวผมก็ไม่ได้ดีเท่าไร
ทั้งอ้วน ทั้งไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยผมยาว ปล่อยภาพลักษณ์ไม่ดี
ซึ่งทำให้มีผลกับความสนิทชิดเชื้อของเพื่อนร่วมงาน สุดท้ายคือ ผมได้เจอความคิดของแต่ละคนว่าเค้าคิดกันยังไง
ทัศนคติที่เราจะเจอในงานประจำ
เอาจริง ๆ การเปลี่ยน Mindset จากพนักงานประจำให้เป็นนายตัวเองมันยากมาก เพราะสภาพแวดล้อมของพนักงานประจำที่เอื้ออำนวยให้ติดแหง็กอยู่กับความคิดของพนักงานประจำตลอดเวลา
อย่างเช่น ตื่นเช้ามา อาบน้ำ เดินทางไปทำงาน
พอกลางวัน ก็กินข้าวกับเพื่อน ๆ
ตกเย็นมา ก็เดินทางกลับบ้าน แล้วดูทีวี หรือเล่นเน็ตหลังเลิกงาน
ถ้าวันศุกร์ ก็นัดเจอเพื่อน ๆ ไป Hangout กันย่านสถานบันเทิง
แล้วก็วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ สัปดาห์
จนน่าเบื่อ
ช่วง Try Hard
บางคนที่เริ่มเบื่องานประจำ เริ่มมีความกบฎ อยากออกจากงานมาเดินหน้าทำธุรกิจส่วนตัว
ซึ่งการทำธุรกิจส่วนตัวช่วงแรก ๆ คือยากมาก ๆ ต้องอดทนสุด ๆ และต้องมีเงินทุนของตัวเองสนับสนุน
บางคนฟัง Podcast ฟังเรื่องราวการลงทุน ฟังความคิดของคนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี
แต่ถ้าฟังไปเรื่อย ๆ จนจับใจความได้ว่า ความคิดของคนที่ประสบความสำเร็จเป็นยังไง ก็ถึงเวลาต้องออก
แต่บางคนออกมาแล้วก็เจ๊งก็มี สุดท้ายก็กลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม
แล้วก็ออกมา แล้วก็เจ๊ง วนแบบนี้เรื่อย ๆ
ยุคนี้ต่อสู้กันเหนื่อยมาก ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลที่ไม่เอื้ออำนวยให้สร้างตัวและแข่งขันกันอย่างเต็มที่อย่างที่ควรเป็น
ถามว่าผมต้องฝ่าฝันกับความไม่สำเร็จนานแค่ไหน น่าจะเป็นปีเลยมั้ง
ตั้งแต่ออกจากงานและทำ YouTube เต็มที่ แต่ตอนนั้นคือการหาเงินใน YouTube มันเน่า เละเทะ ไม่เหมือนเดิม ทำให้รู้สึกว่า การหาเงินทางนี้ไม่น่าจะใช่ทาง แล้วพอไปสมัครงานใหม่ ก็ไม่มีการับเข้าทำงาน เหตุผลคือ อายุของผมเกินแล้ว และระดับงานที่ทำมันต้อง Senior
แต่ไม่มีใครรับงานระดับ Senior สุดท้ายก็ต้องออกมาทำธุรกิจของตัวเองและกัดฟันสู้จนตอนนี้รอดในที่สุด
จะสังเกตว่า ทำไมผมหายจาก YouTube เป็นปี เพราะตอนนั้นผมคิดว่า YouTube มันไม่ได้สร้างให้ผมมีเงินมากมายเหมือนเมื่อก่อน เอาธุรกิจให้เติบโตเรื่อย ๆ ดีกว่า
เมื่อเรากลับมาลุกได้ ความคิดไม่เหมือนเดิม
สาเหตุที่ผมกลับมาทำสื่อ CAMPZZZ เพราะตอนนี้ธุรกิจคงที่แล้ว ซึ่งคนในทีมต่างต่อยอดไปเรื่อย ๆ ส่วนตัวผม รู้สึกว่างจัดเลยเลือกทำสื่อต่อ
แต่ถ้าจะทำ YouTube อย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้แล้ว และการหายไปนานทำให้หลาย ๆ คนลืมผมไปหมดแล้ว
สุดท้ายก็ต้องกลับมาทำ Blog ก่อน เพราะ Blog มันแชร์บทความและเข้าถึงคนใช้งานมือถือใน Social Media ได้ง่ายกว่า
พวกสื่อ YouTube หรือ Podcast การเข้าถึงต้องใส่หูฟัง แต่บทความใน Blog แค่ไถ ๆ อ่านบทความก็เข้าถึงแล้ว
เลยเริ่มต้นทำ Blog และเน้นไปที่การทำ Blog อีกครั้ง
เพราะบทความของ Blog มันคือ Script เพื่อต่อยอดในการทำ Clip หรือ Podcast ต่อไป
ในช่วงที่ลุกขึ้นได้ ผมมีเวลาดูแลตัวเอง อย่างออกกำลังกาย หรือกินอาหารที่มีประโยชน์ ดูแลตัวเองมากกว่าแต่ก่อน เหมือนรู้สึกรักตัวเองมากขึ้น ไม่ได้บ้างานเหมือนเมื่อก่อน อารมณ์ประมาณว่า งานก็รัก แต่รักตัวเองต้องมาก่อน
แต่ดูเหมือนว่า การโพสต์อะไรในยุคนี้ มันมีการจำกัดการเข้าถึง อย่าง Facebook คือพวกที่คนกดไลค์เยอะ ๆ คือคนที่รู้จักกันก่อนหน้านั้นแล้ว และมีเพื่อนที่เป็นกองอวย อารมณ์แบบ เราโพสต์อะไรไป ก็จะมีคนเข้ามา Comment
แต่เราไม่ได้มีกองอวยแบบนั้นแล้ว เพื่อนผมตอนนี้ก็ไม่ได้เล่น Facebook เหมือนเมื่อก่อน และพอไม่ได้คุยกันใน Facebook ทาง Facebook ก็แอบซ่อนของ ๆ เราตลอด
เลยรู้สึกว่า ชีวิตนี้มัน Back to basic อีกครั้ง
ถ้ามองกันตามความจริง ตอนนี้ผมกลับมาไม่มี Connection อีกรอบ
เหมือนย้อนกลับไปช่วงออกจากงานใหม่ ๆ
บางที การอยู่กับคนในครอบครัว เพราะหน้าที่หัวเรือใหญ่ของธุรกิจครอบครัว ก็ Feel alone ได้
สิ่งเดียวที่จะพอช่วยได้อยู่ คือ สร้างคุณค่าในตัวเองขึ้นมาอย่างทำสื่อ
ซึ่งตอนนี้กำลังกระจายสื่อออกมาให้กว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน หรือเป็นปีเพื่อกลับมาอีกรอบ
แต่ที่รู้ ๆ เพื่อน ๆ บางคนที่เคยทำงานด้วยกัน วันนั้นไม่เห็นหัวเรา
แต่พอเค้ารู้ว่าผมตั้งตัวได้ เค้ามาหาทันที
บางที เค้าอาจจะมาหาเพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่างก็เป็นได้
ถ้าเป็นเพื่อนกัน ก็ต้องอย่าทุ่มใจมากเกินไป
เพราะโลกใบนี้มันอันตราย
Leave a Reply