Campzzz

อารมณ์เดียวกับ ทำ YouTube อย่างเดียวไม่พอ ต้องทำ Content แบบย่อยง่ายใน Facebook หรือ Twitter ด้วย

หรือทำ Facebook อย่างเดียวไม่พอ ต้องทำบล็อกหรือ Podcast ด้วย

หรือไม่แต่ Podcast ที่ทำแต่ Podcast อย่างเดียวไม่พอ ต้องทำบล็อกหรือเอา Podcast ลง YouTube ด้วย ยิ่งถ้าเป็น Podcast แบบอัดกล้องเหมือน Daily Topics จะยิ่งเหมาะมาก ๆ

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น

จากประสบการณ์ที่ทำบล็อกแบบเล่น ๆ มาตลอดหลายปี ตั้งแต่เรียน ม.ปลายช่วงปี 2006 ตั้งแต่ที่ผมรู้จักกับคำว่า Blog ตอนแรกก็มีอะไรจะเขียนก็เขียนไป แต่สิ่งที่ Blog ยืนอยู่ยาวขนาดนี้เพราะ Blog เหมือนเป็นแหล่งความรู้ที่มีทีท่าว่า “น่าเชื่อถือ”

เพราะด้วยความเป็นเว็บไซต์ที่แยกมาจาก Social media อีกที ยิ่งถ้าจดโดเมนเนมของตัวเอง ยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ซึ่งความอยู่ยงคงกระพันของ Blog ไม่ต่างจาก Email ที่มีมานานมาก ๆ แต่ทุกวันนี้ยังมีคนใช้อยู่ แม้แต่คนในสำนักงานก็ใช้ Email กัน

ปัจจุบันสื่อต่าง ๆ ออกมาหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ไม่ว่าจะ YouTube, คลิปสั้นใน Story, คลิปสั้นใน Tiktok, คลิปใน Facebook Watch หรือแม้แต่คลิป YouTube

แต่ถ้าทำรูปแบบเดียว ทำให้เราจะได้กลุ่มเป้าหมายอยู่ในนั้นอย่างเดียว มันไม่กว้าง

ที่ผมสำรวจมา เวลาคนแชร์โพสต์ต่าง ๆ ใน Facebook คนส่วนใหญ่เลือกจะแชร์โพสต์จากเพจที่มันเป็น Original

เพราะมันแชร์ง่ายมาก

แต่บางคนกลับลืมเอาโพสต์ที่เขียนลงเป็นบทความของตัวเองในบล็อก ทำให้การค้นหาผ่าน Search Engine ทำได้ยาก

หรือแม้แต่ Podcast ถ้าจะเกิดโดยไม่เปิดเพจ, เว็บไซต์ คือเปิดแต่ช่อง Podcast อย่างเดียว บอกเลยว่าเกิดยาก

วิธีที่ทาง The Standard ทำ คือ ลง Podcast ในเว็บของตัวเองแล้วข้างล่างของ Podcast แต่ละตอน เป็นบทความที่มาจาก Podcast นั้น ๆ อีกที

แต่การทำแบบนี้ มันเพิ่มภาระให้กับ Content Creator หลายเท่า

ถ้าเกิดแบบนี้ ผมแนะนำให้ลงทุนกับเครื่องทุ่นแรงในการทำ Content ก่อนดีกว่า

ถ้าไปสาย Podcast ต้องหาไมค์ดี ๆ สักอันและ Script ที่เขียน ไม่ต้องเขียนเยอะมาก

ส่วนสาย YouTube อันนี้หนักเลย แต่ถ้าทำแบบ Daily Topics หรือพี่หาว 2how คือพูดคนเดียวและโชว์กล้อง อันนี้ทำคนเดียวได้ แต่ต้องมีอุปกรณ์ช่วยเยอะมาก ที่มีก็คอมพิวเตอร์เพื่อสตรีม, กล้องที่ต่อ HDMI, สาย HDMI, Video Capture Card, ไมค์, ฯลฯ ยิ่งถ้าเป็นสตรีมเมอร์ จะเยอะมากกว่าอีก

แต่การลงทุนด้วยเครื่องทุ่นแรงเหล่านี้ ทำให้ทำ Content ได้ง่ายขึ้น

ไม่ควรฝังตัวเองกับ Platform ใด Platform หนึ่ง

โชคร้ายที่เจ้าของ Social Media ต้องแข่งกันกับคู่แข่ง Social Media อื่น ๆ

และไหนจะเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ, กฎหมายในการควบคุมสื่อ, ฯลฯ

ทำให้ Platform Social Media แต่ละเจ้าจำเป็นต้องปรับตัวและต้องทำให้เป็นมิตรทั้งกฎหมายและผู้ใช้งาน

หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้การหาเงินใน YouTube เปลี่ยนไปตลอดกาลคือเรื่อง “ผู้ลงโฆษณาพร้อมใจถอดโฆษณาออกจาก YouTube เนื่องจากไม่พอใจที่โฆษณาของพวกเขาโผล่ในคลิปที่มีเนื้อหารุนแรง”

ผมจำได้ดี เมื่อเดือนเมษายน 2017 วันที่ผมจะได้เงินจาก YouTube กลายเป็นว่าไม่ได้เงิน และตอนนั้นผมตั้งหน้าตั้งตาทำ YouTube เต็มที่ ผมผิดหวังมากที่อยู่ ๆ YouTube ไม่ให้เงิน และสุดท้าย เหตุผลก็โผล่ออกมา ซึ่งก็พอฟังได้

แต่ผลกระทบที่ตามมา หนักหนามากทำให้ Creator บางคนที่ปรับตัวไม่ไหว คือพังไปเลย

เพราะมีการเช็คว่าคลิปติดเหลืองหรือไม่ติดเหลือง เดิมทีการสร้างรายได้ไม่ได้ของ YouTube จะมาจากคลิปติดลิขสิทธ์เพลงหรือวีดีโอ หรือคลิปที่ Age restricted แต่คราวนี้มีปัจจัยเรื่องความไม่เหมาะสมของเนื้อหาในคลิป ซึ่งทุกวันนี้ YouTube ก็ยังไม่พูดชัดเจนว่าทำไมคลิปนั้นคลิปนี้ติดเหลือง แต่บอกประมาณว่า “ครีเอเตอร์รู้อยู่แก่ใจ ว่าทำแบบนี้คลิปติดเหลืองแน่”

และผมในตอนนั้นคือหนึ่งในผู้โดนผลกระทบอันนี้ ทำให้คลิปเกม Shooting ทุกเกมติดเหลืองหมด และหนีไปทำคลิปแนว Vlog แทน และสักพักก็หยุดทำ YouTube เป็นเวลาปีกว่า แต่ก็กลับมาแบบเดี๋ยวทำเดี๋ยวไม่ทำ เพราะของตอนนั้นยังไม่พร้อม

ในช่วงที่หาย ผมทำ Podcast แต่เดี๋ยวทำเดี๋ยวไม่ทำ เพราะต้องใช้ Script จนบังเอิญเพิ่งคิดได้ว่า เราก็เขียนสคริปลงบล็อกก่อนก็ได้ แล้วค่อยทำ Podcast

ก็เลยต้องเปิดบล็อกแบบนี้ครับ

ซึ่งใจผมต้องการทำบล็อกเพื่อเป็น Script ในการทำ Content รูปแบบอื่น อย่าง Podcast และคลิป YouTube บางทีพึ่ง YouTube อย่างเดียวคงไม่พอ

และการปิดหน้าปิดตาใน YouTube ก็เหมาะกับคนที่ Introvert มาก ๆ เช่นกัน