กรุงเทพฯเป็นเมืองน่าเที่ยวแต่ไม่น่าไปอยู่

ผมเคยทำ content แนว ๆ นี้ตอนช่วงทำ YouTube ช่วงแรก ๆ เลย ตอนนั้นทำคลิปญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่าเที่ยวแต่ไม่น่าไปอยู่ feedback ก็แรงใช้ได้เลยในตอนนั้นแต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะว่าเราก็ไม่ดึกมันจะเป็นคลิปที่คนดูเยอะขนาดนั้น

แล้วถ้าลองพูดถึงกรุงเทพฯ ที่ที่ผมเกิดล่ะ มันจะเป็นยังไง

ถ้าใครเป็นคนนึงรักกรุงเทพฯ จะรู้ดีว่ากรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองน่าเที่ยวอันดับต้น ๆ ของโลก โดยเฉพาะคนจีนจะหลั่งไหลเข้ามาในกรุงเทพ ฯมาเที่ยวกัน มากินอาหารสตรีทฟู้ด มากินทุเรียน หรือมาช้อปปิ้งที่กรุงเทพฯ กัน นอกจากคนจีนแล้วก็ยังมีชาวต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือฝรั่งที่เข้ามา สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่อากาศกำลังดี ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป แล้วจะเห็นคนมาเที่ยวที่กรุงเทพบ่อยๆ ก็ช่วงตอนหน้าหนาวของกรุงเทพฯ เนื่องจากว่าในต่างประเทศอากาศหนาวมีหิมะมากๆ เวลาอยู่มันจะลำบากหน่อย แต่ถ้ามาที่กรุงเทพฯ จะรู้สึกเย็นสบายและเป็นอากาศที่กำลังพอดี

ที่เที่ยวในกรุงเทพฯ มีเยอะแยะมากมา ยและภายในกรุงเทพฯ เองก็มีที่เที่ยวหลากหลายแนวมาก ๆ บางคนต้องการดูความเก่าของกรุงเทพฯ ก็ไปในย่านเจริญกรุงหรือย่านพระนคร บางคนอยากไปช้อปปิ้งก็ไปที่ย่านสยาม บางคนอยากไปเที่ยวกลางคืนก็ไปย่านเอกมัยทองหล่อหรือ RCA บางคนอยากไปดูงานศิลปะก็ไปที่หอศิลป์วัฒนธรรมกรุงเทพฯ หรือหอศิลป์ต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายในรอบกรุงเทพฯ อยากกินอาหารอะไรอร่อย ๆ ก็ลองช่วงเย็นๆและไปเดินกินซีฟู้ดที่เยาวราช

เห็นไหมครับว่าที่เที่ยวในกรุงเทพฯมันมีเยอะมาก ๆ และมาหลากหลายแนวไม่ใช่แค่มีแต่แนวเดียว แล้วค่าเงินบาทที่น้อยกว่าประเทศอื่นๆทำให้กรุงเทพฯเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าเที่ยวมากที่สุด

แต่ถ้าถามว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองที่น่าอยู่ไหมคำตอบคือ…

ถ้าเป็นชาวต่างชาติที่มาจากต่างประเทศและมาอาศัยในไทยกรุงเทพฯ ก็เป็นเมืองที่น่าอยู่เลยทีเดียว

แต่ถ้าเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวกรุงเทพฯ หรือชาวต่างจังหวัดที่เดินทางมากรุงเทพฯมาทำงานกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่เมืองที่น่าอยู่เท่าไหร่

ทำไมคนไทยด้วยกันคิดว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่ ในบทความนี้มีคำตอบครับ

ขอออกตัวก่อนว่าสิ่งที่จะพิมพ์ในบทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่ถ้าอ่านเอาสนุกก็อ่านเลยครับ

ค่าครองชีพที่แพงเอาเรื่อง

ไม่นึกว่ากรุงเทพฯ จะมีค่าครองชีพที่แพงสุดกู่จนถึงขนาดนี้ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ค่าครองชีพในกรุงเทพฯยังไม่เยอะเท่าในยุคปัจจุบัน ในตอนนั้นถ้าผมมีเงินประมาณ 15,000 บาทซึ่งเป็นค่าเงินเดือนตามมาตรฐานทั่วไปตอนนั้นยังพออยู่ได้ แต่ว่าความพออยู่มันก็เกือบจะไม่ได้แล้ว ถ้าต้องการเงินเก็บเพื่อใช้จ่ายอย่างอื่นในอนาคต อย่างซื้อบ้าน เป็นไปได้ยากถึงเป็นไปไม่ได้เลย จนกระทั่งพอมาช่วงปี 2018 เป็นต้นไปกรุงเทพฯ เริ่มเป็นเมืองไม่น่าอยู่ เพราะว่าค่าครองชีพที่แพงอย่างน่าตกใจ

จริง ๆ รัฐบาลควรตรึงราคาขนส่งสาธารณะให้มันเข้ากับทุก ๆ คน ยอมรับว่าค่าโดยสารของรถไฟฟ้า BTS มันแพงมาก ๆ บางคนอาจจะมองว่าไม่แพง แต่คนที่มีเงินเดือน 15,000 บาทต่อเดือนมาว่าแพงสาหัสสากันเลยทีเดียว แล้วถ้าไม่อยากได้ราคาแพงก็ต้องไปจ่ายราคาแบบเหมาจำนวนการเดินทาง ซึ่งพอบวกลบดูมันก็ยังแพงอยู่ดี แล้วถ้าจ่ายบัตรราคาทั่วไปจะยิ่งมากกว่านี้อีก เอาง่ายๆคือค่าเดินทางไปกลับเกิน 100 บาท แล้วถ้าจะเติมเงินเพื่อไปและกลับต้องเติมเงิน 200 บาท

ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ เราต้องเติมเงิน 200 บาทเพื่อเดินทางไปกลับ (สำหรับคนที่ต้องใช้ส่วนต่อขยาย) ในการเติมเงินพวกรถไฟฟ้าต่างๆจะเติมเงิน 100 จะไม่มีการเติมเงินประมาณหลักหน่วยหลักสิบอย่างเช่นอยากจะเติมเงิน 125 บาทก็เติมไม่ได้ ถ้าจะเติมก็เป็น 100 บาทหรือ 200 บาทเลย

ซึ่งการเดินทาง 200 บาทจะเป็นค่าเดินทางไปกลับและก็ไปอีกรอบแต่ช่วงกลับครั้งที่ 2 ก็ต้องเติมอีกรอบ

ซึ่งปัญหาตรงนี้เป็นปัญหาเรื้อรังที่ยังไม่มีการแก้ไขโดยรัฐบาลจึงอยากให้รัฐบาลตรึงราคาค่าเดินทางของผู้โดยสารด้วย เพราะถ้าราคาค่าโดยสารมันแพงแบบนี้ สิ่งที่ตามมาคือปัญหาเรื่องรถติด

ปัญหารถติด

ถึงแม้ว่ารถไฟฟ้า BTS กับ MRT จะอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับคนที่อยู่ในกรุงเทพ ฯ ได้ไปไหนมาไหนสะดวก แต่ว่าจำนวนรถที่อยู่ในถนนของกรุงเทพ ฯ ก็ยังมีเยอะอยู่

สงสัยไหมว่าทำไมต่อให้มีรถไฟฟ้า ถ้าจะครอบคลุมในกรุงเทพฯ แต่รถก็ยังเยอะอยู่

เพราะค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่แพงเอาเรื่อง แล้วพื้นที่ในการเดินทางของรถไฟฟ้าก็ไม่ได้ครอบคลุมกรุงเทพฯหมด 100% ทำให้คนสนใจที่จะมีรถยนต์เป็นของตัวเองและเวลาขับไปไหนมาไหนมันจะสะดวกกว่าการขึ้นรถไฟฟ้า

ถ้าเราเป็นคนอยู่คนเดียวในกรุงเทพฯ เรื่องรถเราอาจจะไม่คำนึงถึง แต่ถ้าสมมุติเรามีครอบครัวหรือเรามีแฟน เรื่องรถจะต้องมาแล้ว อย่าลืมว่าค่าเดินทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ เป็นค่าเดินทางต่อคน ถ้าเราไปกับครอบครัว 4 คน ค่าเดินทางไปกลับของรถไฟฟ้าจะต้องคูณ 4 สมมุติราคาไปกลับคนละ 118 บาท ถ้า 4 คนก็เอา 118 * 4 เท่ากับ 472 บาท

แต่ถ้าเรานั่งแท็กซี่จากบ้านเข้าเมืองบางทีอาจจะเสียประมาณ 100-200 บาท เดี๋ยวถ้ามีรถยนต์ส่วนตัวเราอาจจะเสียค่าน้ำมัน 500 บาทแต่เราสามารถไปกลับได้หลายรอบ

แล้วบังเอิญคนในกรุงเทพฯ มีทั้งครอบครัวมีทั้งแฟน ซึ่งเวลาไปไหนมาไหนก็ต้องไปด้วยกันหลายคนทำให้คนเลือกที่จะใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่าการขนส่งสาธารณะ หรือมีคนใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ทำให้ถนนของกรุงเทพฯไม่ได้รองรับจำนวนรถยนต์ส่วนตัวมากขนาดนั้น แล้วเกิดรถติดตามมาในที่สุด

ถนนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ไม่รองรับทางจักรยาน

ถึงจะมีทางจักรยาน แต่กลายเป็นที่จอดรถในที่สุด

ถึงจะมี แต่กลายเป็นที่จอดรถซะงั้น

แม้ว่าในกรุงเทพฯ มีทางที่จะมีทางจักรยาน แต่ทางจักรยานในบางสถานที่ของกรุงเทพฯมันเป็นทางที่ไม่ official บอกเส้นทางรวมระหว่างทางเท้ากับทางจักรยานเลย ซึ่งบางทีก็ทำออกมาดีแต่บางที่ทำเฉพาะทางเดินอย่างเดียวแต่ไม่ได้ทำทางจักรยานด้วย ที่ตามมาคือสภาพพื้นผิวในการขับขี่จักรยานมันเลวร้ายมากกว่าที่คิด ทางเท้าของกรุงเทพฯ ขึ้นชื่อว่าไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ บางทีเวลาฝนตกเราเหยียบไปอยู่ๆ โคลนใต้บล็อกตรงทางเท้ากระเด็นเข้าขาของเรา แล้วก็ต้องมานั่งล้างอีกและไหนจะขี่รถจักรยานบนทางเท้าแล้วเจอทางที่ไม่เรียบร้อยทำให้เราสะดุดล้ม

ความเป็นจริงเราสามารถขี่จักรยาน scooter ได้ตรงถนนแต่ต้องขี่ชิดซ้ายตลอดเวลา แล้วถ้าขี่โดยไม่มีหมวกกันน็อคก็อาจจะเสี่ยงโดนตำรวจจับด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจักรยานและสกูตเตอร์ไม่จำเป็นต้องทำใบขับขี่ก็ตาม

ทางเดินย่านสุขุมวิทสามารถขี่รถจักรยานได้

อย่าลืมว่าบางคนที่ต้องการรถจักรยานก็เพราะว่าเวลาเดินทาง เราเดินทางแค่ไม่กี่กิโลเมตร ขับในซอยหรือว่าขับในถนนที่เป็นซอยเล็กๆ อย่างเช่นถนนทองหล่อ เวลาเราจะขี่จากทองหล่อไปเอกมัยก็ใช้จักรยานได้ตามสบาย หรือเราจะไปนั่งชิวๆ ในร้านคาเฟ่ที่อยู่ในซอยทองหล่อ 13 ขี่จักรยานก็ยังได้แต่เอาเข้าจริง ๆ ซอยทองหล่อ 13 ไม่มีพื้นที่ที่ให้ขี่จักรยานเลยให้ อีกทีก็ชิดซ้ายแต่มันอันตรายมาก ๆ เพราะอย่าลืม ไม่ใช่แค่รถจักรยานที่จะขี่ได้ มีทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ทำความเร็วได้มากกว่ารถจักรยานซะอีก

มีอยู่ครั้งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีบริการขี่สกู๊ตเตอร์เป็นรายนาที แต่ปัจจุบันบริการนั้นก็หายไปแบบงง ๆ นั่นหมายความว่าพื้นที่ถนนของกรุงเทพฯ ยังไม่ได้อำนวยให้กับการขี่สกู๊ตเตอร์และจักรยานอย่างเป็นทางการเพราะมันอันตราย แต่ส่วนตัวผมอยากให้มีทางจักรยานอย่างเป็นทางการในซอยทองหล่อ 13 แล้วก็ซอยทองหล่อและซอยสุขุมวิท 49 เพราะว่าซอยเหล่านี้เป็นหนึ่งในซอยที่ผมชอบมาก ๆ ในซอยนั้นก็จะมีทางไปร้านคาเฟ่ต่าง ๆ มากมาย เป็นคนชอบเดินตอนช่วงค่ำ ๆ ในบริเวณนี้นะครับ แต่ว่าทางเดินหรือทางขี่จักรยานของซอยนี้มันอันตรายจริง ๆ อยากให้ทางกรุงเทพฯ ช่วยมองดูเรื่องนี้ด้วย

สวนสาธารณะที่มีไม่ค่อยเยอะ

ถ้านับสวนสาธารณะในกรุงเทพฯ เราสามารถนับได้เลยว่ามีสวนไหนบ้าง ที่จำได้แน่ ๆ คือสวนลุมพินี สวนเบญจสิริ สวนเบญจกิติ สวนหลวง

สิ่งที่ผมเคยเขียนในบทความเรื่องทองหล่อคือทองหล่อจะกลายเป็นทำเลแห่งการอยู่อาศัย แต่ทำไมไม่มีสวนสาธารณะซึ่งเหมือนเป็นปอดของคนอยู่อาศัยในแถวนั้น อย่าลืมว่าคนที่มีฐานะการเงินที่ดีพอสมควรต้องการอากาศที่ดีด้วย และสวนสาธารณะเปรียบเสมือนปอดของคนในเมืองกรุงเลยทีเดียว แล้วถ้าทองหล่อมีสวนสาธารณะเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยที่ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างที่ควรเป็น

ในย่านที่ผมชอบจริง ๆ ก็มีหลายย่าน หนึ่งในนั้นก็เป็นสามย่าน ตลาดน้อย ย่าน T77 ตรงพระโขนง

สามย่านมีสวนสาธารณะซึ่งเป็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ปัจจุบันสามย่านก็เปลี่ยนไปเยอะพอสมควรไม่เหมือนเมื่อก่อนเพราะว่าทางจุฬาลงกรณ์เขาพยายามจะพัฒนาพื้นที่ที่เยอะแยะมากมายของเขาให้กลายเป็นพื้นที่ใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเดิมแต่บางทีก็ขัดต่อชุมชนแถวนั้น

ส่วนย่าน T77 เป็นย่านที่ผมชอบเดินมาก ๆ เวลาผมมาที่กรุงเทพฯ เพราะว่าผมนั่งจากอุดมสุขมาที่อ่อนนุชแล้วผมเดินจากสถานีอ่อนนุชไปตรงที T77 ได้ง่ายเลย แล้วตอนที่ไปตรง T77 เราสามารถเดินไปจนทะลุซอยปรีดีพนมยงค์ 2 ที่อยู่ตรงถนนปรีดีพนมยงค์ตรงย่านพระโขนง คือการเดินมันมีความเป็นกรุงเทพ ฯ ในย่านชานเมืองได้เป็นอย่างดี และย่าน T77 เป็นย่านที่สงบร่มเย็นและมีต้นไม้ที่อย่างที่กรุงเทพฯ ควรจะเป็นจริง ๆ

สามารถเดินจาก T77 ทะลุไปซอยปรีดีพนมยงค์ 2 ได้

ส่วนย่านตลาดน้อยเอาจริง ๆ อันนี้ต้องอนุโลมนิดนึงเพราะว่าย่านตลาดน้อย ไม่มีสวนสาธารณะแต่สิ่งที่ตลาดน้อยมีก็คือติดอยู่กับย่านเจริญกรุงแล้วย่านเจริญกรุงเป็นด้านแห่งศิลปะวัฒนธรรม แล้วตลาดน้อยก็มีหมู่บ้านที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ความรื่นรมย์และความเป็นกรุงเทพฯ มีสูงมาก ๆ เวลาผมมาที่กรุงเทพฯ ผมก็ชอบเดินในย่านนี้ตอนช่วงวันศุกร์เสาร์อาทิตย์อยู่เสมอคือผมจะลง BTS ลงสถานีสะพานตากสินก่อน (คิดซะว่า ตั๋ว 59 บาทคือค่าเข้าย่านเจริญกรุง) แล้วก็เดินตรงแถวนั้นไปตามถนนเจริญกรุงเรื่อยๆจนกระทั่งเข้า warehouse 30 แล้วก็เข้าตลาดน้อยในที่สุดและ ถ้ามีแรงอีกหน่อยหรือตอนนั้นอยู่ในช่วงกลางคืนแล้วก็จะไปเดินต่อที่เยาวราชก็ยังได้

อยากให้เขตอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ มีสวนสาธารณะในแต่ละเขตเลย คือประมาณว่า 1 เขต 1 สวนสาธารณะ เพราะว่าทุกวันนี้คนกรุงเทพฯ รักษาสุขภาพกันเยอะมาก ๆ บางคนชอบวิ่งออกกำลังกาย ไม่ได้อยากออกกำลังกายในฟิตเนส แล้วก็บางคนสมัยนี้ก็ไม่ได้ทำงานประจำกันแล้ว บางทีก็ตื่นเช้ามาก็ออกกำลังกายเจอกันอย่างนี้ ผู้คนในกรุงเทพฯ ได้เจอหน้ากันแล้วก็มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ทำให้เป็นเมืองที่น่าอยู่มาก ๆ ในต่างประเทศ สวนสาธารณะเป็นหนึ่งใน landmark สำคัญซึ่งในกรุงเทพฯ ควรที่จะให้ความสนใจกับสวนสาธารณะด้วย

อาหารที่แพงเอาเรื่อง

วิธีแก้อาหารที่แพงเอาเรื่องคือให้ซื้อวัตถุดิบแล้วมาทำอาหารกินกันเองดีกว่า แต่ปัญหาคือบ้านเช่าหรือห้องเช่าส่วนใหญ่ไม่มีห้องครัวและพวกคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ บางคนเขาก็ไม่อยากจะทำกับข้าว อยากซื้ออาหารข้างนอกกิน แล้วในเมื่อซื้ออาหารข้างนอกปรากฏว่าอาหารก็แพงเอาเรื่องจนตอนนี้อาหารราคา 40 บาทกลายเป็นอาหารปกติไปซะแล้ว ถ้าอยากจะกินอาหารในเซเว่นซึ่งให้น้อยกว่าประมาณ 25% ของอาหารทั่วไป ราคาก็ใกล้เคียงกับอาหารตามสั่งเลยทีเดียว

แต่ถ้าไม่กินก็ไม่ได้อยู่ดี เอาจริง ๆ สำหรับคนที่อยู่กรุงเทพฯ ผมแนะนำอยากให้ทำอาหารได้ด้วยตนเองเพราะว่าถ้าเราซื้อวัตถุดิบแล้วก็มาทำอาหารเอง กินเอง จะประหยัดเงินพอสมควร แต่ลืมว่าการทำอาหารเองจะต้องเสียเวลาไปกับการทำอาหารด้วย จะต้องแบ่งเวลาให้ดีๆ แล้วบางคนไม่มีเวลามานั่งทานอาหารอะไรแบบนั้นได้อย่างเดียว คือเข้าไปในร้านแล้วก็สั่งอาหารทำให้ค่าใช้จ่ายในตรงนี้อาจจะพุ่งขึ้นพอสมควร

แล้วเงินเดือนแค่เริ่มต้นเพียง 15,000 บาท เอาจริงๆเงินเดือน 15,000 บาทมันจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าทางรัฐบาลอุ้มราคาเครื่องใช้และบริการสาธารณะต่างๆ อย่างเช่นการเดินทางรถไฟฟ้าค่าน้ำมันค่าอาหารต่างๆค่าวัตถุดิบ ถ้าสิ่งเหล่านี้ราคาถูกทำให้การใช้จ่ายในกรุงเทพฯเลยจะง่ายมากยิ่งขึ้นและคนก็จะจับจ่ายใช้สอยมากกว่าเดิมอย่างที่ควรเป็น

ถ้าใช้วิธีแก้ปัญหาโดยการเพิ่มเงินเดือนกับพนักงานประจำ เป็นการผลักภาระให้กับบริษัทเอกชนที่จะต้องจ่ายเงินมากขึ้น แล้วพอจ่ายเงินมากขึ้น การรับจำนวนคนเข้าไปทำงานก็จะลดลง และเมื่อการรับจำนวนพนักงานลดลงทำให้คนตกงานมากขึ้น มากขึ้น และก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งพื้นที่กรุงเทพ ฯอาจจะไม่ใช่เป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการทำงานอีกต่อไป

สรุป

พอมานั่งสรุปโดยรวม ผมคิดว่าการเมืองเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก ๆ บางคนอาจจะหลีกหนีเรื่องการเมือง เพราะว่าเราถูกปลูกฝังให้กลัวเรื่องการเมือง ถ้าพูดถึงเรื่องการเมืองก็จะโดนอิทธิพลเล่นงานอะไรพวกนี้ อยากให้คิดว่าเราสามารถเรียกร้องได้และทุก ๆ คนก็เสียภาษีอยู่แล้ว ดังนั้นการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน แล้วถ้าการเมืองดี ชีวิตความเป็นอยู่ในกรุงเทพฯ ก็จะน่าอยู่และก็เป็นที่น่าเที่ยวด้วย

แต่ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงหรือเปล่า

Advertisement

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

%d bloggers like this: