สำหรับใครที่เพิ่งติดตามสื่อ CAMPZZZ ของผม เดี๋ยวแนะนำกันก่อนครับ ถ้าบทความ, Podcast หรือคลิปตอนไหนที่มีคำว่า “พูดถึง” Content ที่ออกมาจะออกแนว Let’s share (แต่ผมใช้คำว่า “พูดถึง”) แทน ไม่ได้รีวิว มุมมองของบทความแนว ๆ นี้คือ คนที่ผ่านประสบการณ์อะไรก็แล้วแต่มาเล่าให้ฟังแบบคันปากอยากเล่าเวอร์ ๆ ดังนั้น ถ้าพูดถึงเกมไหน บทความนั้นมีโอกาสสปอยด้วย ดังนั้น ถ้าใครกลัวสปอย อย่าไปกลัวครับ เพราะหัวใจของเกมคือเกมเพลย์ เนื้อเรื่องเป็นเรื่องรองจริง ๆ
เกริ่นกันเรียบร้อยแล้ว มาเริ่มพูดถึงเกม Final Fantasy VII Remake แบบขยี้ถึงพริกถึงขิง เอามันให้สุดไปเลยครับ
กว่าจะมาเป็นเกม Final Fantasy VII Remake
จริง ๆ โครงการสร้างเกม Final Fantasy VII Remake มีมานานแล้ว นานมาก ๆ ครับ กว่าจะเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ ที่ผมได้ยินจากนิตยสารเกมต่าง ๆ ข่าวที่สร้างเกม Final Fantasy VII Remake มีมาตั้งแต่ยุค PS3 แต่โครงการนี้ก็ปัดตกไป แล้วในยุค PS3 ก็ออกเกม Final Fantasy XIII ออกมาทั้ง 3 ภาคย่อยแทน แต่ข่าวคราวเรื่อง Final Fantasy Versus XIII ก็ปัดตก และเปลี่ยนมาเป็น Final Fantasy XV ในยุค PS4
อุ้ย!!! พอพูดถึง Final Fantasy XV รู้สึกอยากจะบ่นเกมนี้อีกครั้ง เคยทำคลิปบ่นและด่าเกม Final Fantasy XV ไปครั้งนึง แต่… พอเหอะ ไม่อยากพูดถึงอีก ไม่งั้นยาว
ย้อนมาเรื่อง Final Fantasy VII Remake กันต่อ ในยุค PS3 กระแสก็มีมาบ้าง แต่ก็ปัดตกไป จนมาถึงยุค PS4 ในช่วงงาน PSX ที่กลับมาจัดอีกครั้งหลังจากหายไปนานมาก ๆ ครั้งแรกจัดที่งาน CES ในยุค PS2 แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้จัด มาจัดอีกทีก็ตอนเปิดตัวเครื่องเล่นเกม PS4 เลย ในงาน PSX ปี 2014 ซึ่งปีนั้นเป็นปีครบรอบ 1 ปีของการเปิดตัว PS4 เกมใหม่ ๆ ก็เปิดตัวกันในงานนี้ตามระเบียบ
แต่พอช่วงที่ทาง Square Enix ยืนอยู่บนเวที คนก็ให้ความสนใจ เกมใหม่ในเครือ Square Enix จะเป็นเกมอะไรกันน้า Tomb Raider, Deus EX หรือเปล่า หรือ Just Cause แต่พอฉากหลังโชว์โลโก้ Final Fantasy VII เท่านั้นแหละครับ คนใน Hall ก็ดีใจและโห่ร้องกันไปทั่ว แต่สุดท้ายก็ต้องน้ำตาตกใน เมื่อเกม Final Fantasy VII ที่ว่า เป็นตัว Original ของยุค PS1 แล้วเอามา Port ลง PS4
คนใน Hall ก็อึ้งสิครับ เอาแล้ว พี่เหลี่ยมเล่นตูอีกแล้ว หลอกให้ดีใจ ความฝันของเกม Final Fantasy VII Remake อาจจะเป็นแค่เพียงความฝันอย่างว่า หวังได้อย่างเดียวตอนนี้คือ เกม Final Fantasy XV เกมใหม่ที่กำลังจะออก Demo ให้เล่นสำหรับคนซื้อเกม Final Fantasy Type 0 HD (คือการตลาดตอนนั้นออกแนวหน้าเลือดเวอร์ ๆ คือเห็น Demo สำคัญกว่าตัวเกมเต็ม)
6 เดือนต่อมา
งาน E3 งานที่สำคัญมาก ๆ ในวงการเกม เพราะเป็นงานเปิดตัวเกมในแต่ละปี ในปี 2015 ดูเหมือนความฝันที่เกมเมอร์หลาย ๆ คนหมดหวังกับเกม Final Fantasy VII Remake ก็หายความหมดหวัง เปลี่ยนมาเป็นความ Hype เต็ม 100000000000000000% เมื่อพี่เหลี่ยมปล่อย Trailer ที่เกมเมอร์ทั่วโลกต้องตะลึง อึ้ง น้ำตาไหล ซาบซึ้ง กรี๊ดวี้ดว้าย เพราะ Trailer ที่ว่าคือ….
Final Fantasy VII Remake
ความฝันที่ว่า มันเริ่มจะเป็นจริง เมื่อมีคำว่า Play it first on PS4
เมื่อ Final Fantasy VII Remake โผล่ออกมาแบบนี้ แล้วมีคำว่า Play it first on PS4 ทำให้ยอดขาย PS4 ก็พุ่งเรื่อย ๆ เลยครับ แต่พูดตามตรง ผมไม่ได้ซื้อ PS4 เพื่อได้เล่นเกม Final Fantasy VII Remake เพราะผมซื้อก่อนที่ Trailer ตัวนี้จะออก แต่ผมซื้อเพราะเกม Final Fantasy XV เฮ้อ พูดถึงเกมนี้อีกแล้ว 55555
หลังจากนั้น ข่าวคราวเกม Final Fantasy VII Remake ก็เงียบหายไปเป็นเวลานานมาก ๆ ไม่มีการพูดถึงตัวเกมเป็นเวลากว่า 2-3 ปี ยิ่งปี 2016-2018 หายไปเลย ผมหาข้อมูลในตอนนั้น คือเงียบมาก ส่วนหนึ่งเพราะเกม Final Fantasy XV และเกม Kingdom Hearts กำลังเป็นกระแส ทั้งภาค III และภาคย่อยของภาค 2 อีกที แต่ในช่วงประมาณปี 2017 หรือปี 2018 อันนี้ผมจำไม่ได้แล้วจริง ๆ ไอดอลชื่อดังอย่าง “เฌอปราง” สั่งจองเกม Final Fantasy VII Remake แบบข้ามเดือนข้ามปีกันเลยทีเดียว ซึ่งตอนนั้นเรื่องการจองยังไม่มีด้วยซ้ำ ตรงนี้บ่งบอกให้เห็นว่า มีคนติ่งเกมนี้เยอะมาก ๆ และคนที่ติ่งก็มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง และเป็นกลุ่มคน Gen Y ซะส่วนใหญ่

จะไม่ให้ติ่งได้ไง เกมในดวงใจตอนเด็ก ๆ อ่ะ เกมที่คนซื้อ PS1 มีกันทุกคน (หรือเปล่าว้า ทำไมยุคนั้นผมไม่ได้เล่นอ่ะ หาก็หาไม่เจอ)
ก่อนเกมวางจำหน่าย
แต่พอปี 2019 เริ่มมีการพูดถึงเกม Final Fantasy VII Remake มากขึ้นครับ เริ่มมีการปล่อย Trailer และปล่อยวันวางจำหน่ายเกม ซึ่งตอนช่วงปี 2019 ก็เริ่มมีกระแสเรื่อง PS5 มาบ้างแล้ว เกมเมอร์บางส่วนก็เริ่ม Hype กัน ไม่ใช่แค่เกม Final Fantasy VII Remake ยังมีเกม The Last Of Us Part II, Cyberpunk 2077, Doom Eternal แต่ละเกมที่พูดถึงคือ คุณภาพทั้งนั้น แล้วถ้ารวมฝั่ง Nintendo ด้วย ก็ Animal Crossing

กลายเป็นว่า ช่วงปี 2020 กรรมการตัดสิน Game Of The Year ต้องมาปวดหัวกันอีกที เกมแต่ละเกมในปีนี้มันเทพเวอร์ ๆ และมันเทพคนละแนวไปเลย
จนกระทั่งวันก่อนวางจำหน่าย ทาง Square Enix ใจดีครับ ปล่อย Demo ให้เล่น ซึ่งเป็น Demo เล่นเฉพาะช่วงแรก เล่นได้เฉพาะภารกิจทำลาย Mako Reactor อันแรกเท่านั้น เอาจริง ๆ ตัว Demo ที่ว่า เค้าปล่อยให้เล่นตามงานต่าง ๆ อยู่แล้วครับ ไม่ว่าจะงาน Facebook Gaming, Commart, Thailand Mobile Expo และสุดท้าย ทุกคนที่มี PS4 ก็ได้เล่นกัน

แต่ปัญหาที่ไม่คาดคิดก็เกิดครับ ทาง Sony เค้าเอา Demo เกม Final Fantasy VII Remake ภาษาจีนมาวางไว้ที่หน้า Highlight ในเครื่อง PS4 คนที่เข้ามาโหลดผ่านหน้า Highlight ก็จะได้ภาษาจีนไป แต่ถามว่ามีภาษาอังกฤษไหม มีครับ แต่มันซ่อน ต้องเข้าไปในหน้ารวมเกมที่ซื้อเพื่อจะดาวโหลดทีหลังอีกที ซึ่งต้องขอบคุณเพื่อน ๆ ในกลุ่ม PS4 ที่แนะนำให้ดาวโหลดตัวภาษาอังกฤษได้
การโหลด Demo ภาษาจีนส่งผลกระทบต่อมาคือ คนที่ Pre Order ในตัว Demo ภาษาจีน เค้าจะได้ตัวเกมเต็มภาษาจีนครับ เรื่องนี้เดือดร้อน Sony อีกแล้ว บางคนยอมซื้อตัวเกม 2 เวอร์ชั่น คือ อังกฤษ และจีน จนในภายหลัง ทาง Sony เปิดโอกาสให้เกมเมอร์ที่ซื้อภาษาผิดสามารถเลือกภาษาที่ต้องการ ซึ่งในที่นี้คือ ภาษาอังกฤษ แล้วเรื่องดราม่าได้ภาษาไม่ตามที่ต้องการก็จบลงครับ
มาพูดถึงตัวเกมเต็มเลย
เกริ่นเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนได้ตัวเกมเต็ม Final Fantasy VII Remake มามากแล้ว ตอนนี้ได้พูดถึงตัวเกมเต็มแล้วครับ ว่าที่เล่นมา เจออะไรบ้าง ตรงไหนดีต่อใจเวอร์ ๆ ตรงไหนอยากจะบ่นอยากจะด่า และตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไป มีสปอยเล็ดลอดออกมา เพราะอยากจะสื่อสารกับคนที่เล่นเกมนี้มาแล้วและลองฟังความคิดเห็นของผมไปด้วยกัน แต่เอาจริง ๆ เนื้อเรื่องเกม Final Fantasy VII Remake ใช้โครงเรื่องเดิมจากเกม Final Fantasy VII ในปี 1997 มันผ่านมา 23 ปีแล้วครับ เนื้อเรื่องมันไม่ได้ใหม่อะไรแล้ว ดังนั้น อย่า Sensitive กับสปอยเกมนี้ครับ
เริ่มแรกมา ก็จะโชว์ Cinematic สวย ๆ เป็นภาพ CG แบบวีดีโอครับ ไม่ได้เรนเดอร์แบบ Real time ใครที่มีความรู้ด้านเทคนิคจะรู้ดีกว่า ฉากเปิดตัวเกมมันเรนเดอร์แบบ Real time ไม่ได้ใน PS4 เพราะเครื่อง PS4 ยังช้าอยู่ เรนเดอร์ไม่ทัน ตัวการสำคัญคือคือ Storage ที่ใช้ครับ เป็น HDD ต่อให้เปลี่ยนเป็น SSD แต่มันก็ไม่เร็วมากพอ เพราะยังใช้ Port แบบ SATA แต่ถ้าเป็น PS5 ผมว่าคลิปเปิดตัวสามารถทำได้แบบ Real time ครับ

พอเข้าฉากสถานีรถไฟใน Sector 1 ตัวเกมถึงจะใช้การเรนเดอร์แบบ Real time และเปิดฉากสู้กับพวกทหารของ Shinra การต่อสู้เป็นแบบ Action เลยครับ แต่วินาทีแรกที่ผมสู้กับพวกทหาร มีคำถามอยากถามผู้พัฒนาเกมนี้ทันทีว่า
“นี่มันปี 2020 แล้ว ยังใช้ปุ่มสี่เหลี่ยมเป็นปุ่มโจมตีอยู่อีกเรอะ!!!?”

คือเกมแอคชั่นยุคใหม่ เค้าไม่ใช้ปุ่มสี่เหลี่ยมเป็นปุ่มโจมตีครับ ยกเว้น Uncharted, The Last Of Us, Death Stranding พวกเกมเหล่านี้มันมี Mechanic การต่อสู้ทั้ง 2 แบบ คือ ใช้หมัดมวยกับใช้ปืนยิง แต่เกม Final Fantasy VII Remake การต่อสู้ออกแนว ๆ Souls, Assassin’s Creed คือเน้นการสู้ระยะประชิดเป็นหลัก ซึ่งเกมพวกนี้ ต้องการหันอนาล็อกขวาตามอิสระของผู้เล่น คือยุคก่อน ที่ใช้ปุ่มสี่เหลี่ยมโจมตีได้เพราะมุมกล้องมันล็อก แต่ตอนนี้คือมันไม่ล็อกแล้ว มันอิสระ
แต่คงว่าได้ไม่เต็มที่ เพราะเอาจริง ๆ Final Fantasy VII Remake เอาระบบการต่อสู้มาจาก Devil May Cry มากกว่า มีเรื่องการล็อกเป้าโจมตี และเรื่องการหลบ ถ้าจะเทียบกับ Devil May Cry แบบเน้น ๆ มันก็เทียบกันไม่ได้ เกม Final Fantasy VII Remake มันไม่ได้เป็นเกม Action แบบนั้น มันมีความเป็น Tactical เรื่องของการสั่งให้ร่ายเวทมนตร์ หรือใช้ท่าพิเศษของตัวละคร ซึ่งการสั่งอะไรพวกนี้ มีความคล้ายคลึงกับเกม Final Fantasy จริง ๆ
แต่ถ้ามองอะไรโดยรวม ระบบเกมจะคล้ายคลึงกับเกม Final Fantasy XII อยู่บ้าง แต่ถ้ามาเทียบกัน Final Fantasy VII Remake มันดีกว่าหลาย ๆ เกม คาดไม่ถึงเลยว่า Final Fantasy VII Remake จะทำออกมาได้ลงตัวขนาดนี้ คือระบบเกมทำออกมาได้เหมาะกับผู้เล่น Final Fantasy หน้าเก่า ๆ และหน้าใหม่ ๆ นึกไม่ถึงว่า Square Enix จะทำให้เกมเมอร์อย่างเราประทับใจขนาดนี้

อันนี้คือพูดในฐานะแฟนคลับเกม Franchise นี้เลย คืออะไรหลาย ๆ อย่างดีงามจนกลบอคติได้หมดจด คือจะมามองหาข้อเสียทีละจุด ๆ กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย อารมณ์แบบ เล่นเกม Photo Hunt ระดับ Very Very hard ทุกอย่างไม่มีอะไรจะติ มีอย่างเดียวคือความฟิน การนำเสนอที่อินได้อินดี กลายเป็นว่า ถ้าเกมไหน Tetsuya Nomura เป็นหัวเรือใหญ่ในการทำ Project เกมแต่ละเกมของค่าย Square Enix ผมเชื่อมือคนนี้เลยครับ ส่วนลายเซ็นของเค้า อันนี้ยังไม่รู้ เกมที่ผ่านมาของ Tetsuya Nomura ในฐานะ Director อย่าง Kingdom Hearts ทำออกมาได้ดี แฟน ๆ ที่ติดตามซีรีส์นี้ก็ชอบ มันตรงใจ และพอมา Final Fantasy VII Remake ซึ่งเค้ารับตำแหน่งเป็น Director ก็ทำออกมาได้สมกับที่แฟน ๆ เกมนี้รอ ผมงงมากว่า Tetsuya Nomura เค้าบริหารทำเกม 2 เกมในเวลาเดียวกันได้ยังไง เป็นเรื่องที่แปลกมาก ขนาด Naughty Dog ยังทำไม่ได้เลย เค้ามีพลังอะไรแอบแฝงอยู่
Cloud กับ Tifa ทำเราจิ้นแบบฉุดไม่อยู่

ต่อมา เรื่องนี้ ไม่พูดไม่ได้ครับ คือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง Cloud กับ Tifa ในเกม Final Fantasy VII Remake
ความสัมพันธ์ของ Cloud กับ Tifa เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบ It’s complicated แปลเป็นไทยคือ มันซับซ้อน ซึ่งความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นครั้งแรกก็ Cloud กับ Tifa นั่นแหละครับ ก่อนหน้านั้น Final Fantasy จะพูดถึงความสัมพันธ์ตัวละครแบบตรงไปตรงมา เล่าแบบคลาสสิกเลย คือพระเอกกับนางเอก ต้องเป็นแฟนกัน จะเป็นแฟนกันตั้งแต่แรกก็มี บางทีเป็นแฟนกันตอนจบก็มี อย่างภาค 4 ระหว่าง Cecil กับ Rosa อันนี้เป็นแฟนกันตอนไหนไม่รู้ แต่บทคือโคตรบ่งบอกเลยว่า คือคู่นี้รักกัน พอมาภาค 5,6 ไม่มีการพูดถึงความรักแบบชู้สาว มีแต่ความรักในการกอบกู้โลก ยิ่งภาค 6 นี่มัน The Avenger ชัด ๆ พอมาภาค 7 ก็มีเรื่องความรักครับ แต่เป็นความรักแบบซับซ้อน ซ่อนเงื่อน
คือ… อารมณ์แบบ… รักนะ แต่ไม่พูดออกมา คือคำว่า “เป็นแฟนกัน” “รักนะ” เป็นคำพูดที่พูดยากมาก ชอบสงวนท่าที่อยู่เรื่อย แต่รู้ฮะว่า สองคนนี้มี Something ที่เป็นมากกว่าเพื่อนแน่นอน ก็ดูจากการแสดงออกหรือการกระทำดูครับ หรือความเชื่อของคนใกล้ตัว Cloud เชื่อเลย คำว่าการกระทำเสียงดังกว่าคำพูด มันเป็นแบบนี้นี่เอง
คือทั้ง Jessie กับ Aerith ถามถึงความสัมพันธ์ของ Cloud กับ Tifa แบบนี้ แต่ Cloud ก็ซึน บอกว่า ไม่ใช่แฟนบ้าง เป็นมากกว่าเพื่อนบ้าง

เดี๋ยว Cloud นี่มันคำพูดของคนหลายใจนี่หว่า 555555
เรื่องความสัมพันธ์ของ Cloud กับ Tifa มองอีกมุมนึง ก็ดูน่ารักดีไม่น้อย แต่เอ๊ะ ในเมื่อความสัมพันธ์มันกำกวมแบบนี้ พี่เหลี่ยมของเราเลยใส่ตัวละครคอยป่วนหัวใจ ให้ตัดสินใจซะว่าตกลงเป็นอะไรกันแน่ ตัวละครนั้นก็คือ Aerith

ความสัมพันธ์ระหว่าง Cloud กับ Aerith ที่ได้เปรียบกว่า Tifa คือ เราได้เห็น Moment การผ่านอะไรมาด้วยกัน ในขณะที่ Cloud กับ Tifa เราไม่ได้เห็นความสัมพันธ์นั้นแค่เล่าเรื่องย้อนอดีตอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ สักพักก็ย้อนมาปัจจุบัน (ถ้าอยากเห็น คือต้องเล่นภาค Original หรือต้องรอ Season 2) เห็นน้อยครับ แต่น่าแปลกที่ทำไมผมดูแล้ว ความสัมพันธ์ Cloud กับ Aerith เห็นผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งหลาย EP. ไม่ว่าสู้กับ Reno, พาไปบ้านของ Aerith, สู้กับ Rude, ไปเส้นทางลับ, นั่งตรงสนามเด็กเล่นด้วยกัน, ไปช่วยเหลือ Tifa ด้วยกัน, สู้กันใน Colosseum ด้วยกัน, เห็น Cloud แต่งหญิง อะไรพวกนี้ แต่เรากลับมองเหมือนเป็นเพื่อนร่วมทาง เผลอ ๆ ท่าทางของ Aerith คือ… ดูเด็กน้อยไปหน่อย ทั้ง ๆ ที่อายุเยอะกว่า Tifa เพราะตัวเกมพยายามสื่อว่า Cloud คือคนสำคัญของ Tifa นะอะไรแบบนี้ ช่วงเหตุการณ์อดีตระหว่าง Cloud และ Tifa ในตัวเกม Original ชนะขาดรอย

ยิ่งฉากสุสานรถไฟหรือตอนที่ตกลงมาท่อระบายน้ำนี่ Tifa ยิ่งแสดงออกชัดเจนว่า Cloud ของเค้านะ เธออย่ามายุ่ง!!! คือสีหน้าของผู้หญิงเวลาหึงนี่ ชัดเจนมากครับ แต่ช่วงหลัง บทก็อวยให้ Cloud กับ Tifa อยู่ด้วยกันอีกครับ แหม่ สลับกันช่วยเหลือเลยนะ ตอนแรกไปช่วยเหลือ Tifa จากเงื้อมมือของ Don Corneo ต่อมาต้องไปช่วยเหลือ Aerith จากเงื้อมมือของ Professor Hojo อารมณ์แบบ มาเป็นคู่เลย
Fan Service & Voice Acting
ต่อมาเป็นเรื่อง Fan service ของเกมนี้ บอกตรง ๆ ว่า Fan Service มีความเป็นญี่ปุ่นมาก สำหรับตัวผมที่หลัง ๆ เล่นแต่เกมฝั่งตะวันตก เรื่อง Fan Serivce ก็มีบ้างอะไรบ้าง อาจจะเป็น เอาภาพหรือเพลงชวนให้เกิด Nostalgia หรือแอบใส่ Easter Egg ให้ผู้เล่นค้นหากันเอง พอเจอก็ฟิน แต่ Fan Service ของเกมญี่ปุ่น มันแตกต่างจากฝั่งตะวันตก เผลอ ๆ ดีกว่าด้วย
คือญี่ปุ่นเป็นชาติที่มองเรื่องคนอื่นมากกว่าตัวเอง เค้าจะไม่ค่อยทำอะไรตามใจตัวเองเท่าไร ก็ต้องฟังเสียงที่แฟน ๆ ต้องการ ฟังเสียงที่แฟน ๆ พูดกันเองใน Community อยากได้ Cloud อย่างโน้นอย่างนี้ อยากจิ้น Cloud กับ Tifa ให้ภาพมันชัดเจนหน่อย อยากให้สิ่งที่จิ้น ๆ มีความเป็น Official ไม่เอาพวกภาพหรือนิยายที่แฟน ๆ แต่งเองแล้ว อยากได้ความเป็น Official อ่ะ อยากได้แบบนั้น แม้ว่าค่ายเหลี่ยมหรือ Square Enix ช่วงหลังอาจจะทำเกมไม่ตรงใจแฟน แต่สำหรับเกม Final Fantasy VII Remake ลบข้อครหาตรงนี้ไปเลยครับ เพราะเค้าฟังแฟน ๆ และทำอย่างที่แฟนต้องการ ถือเป็นการชดใช้ความผิดหวังตั้งแต่ยุค PS3 แล้ว

คือเรื่องของเรื่อง ทุนหนาด้วย ทุนก็เอามาจากเกมมือถือ คนเติมเงินเยอะ เปิดกาชาเยอะ ก็เอาเงินกำไรมาเป็นทุนพัฒนาเกม AAA ขนาดใหญ่ ผมว่าเป็นโมเดลที่ดีเลยนะครับ คือออกเกมเวอร์ชั่นมือถือแล้วทำกำไรไปเรื่อย ๆ เหมือนเป็นการสนับสนุนเกม Franchise Final Fantasy ให้มีทุน และเหมือนเป็นการเก็บสถิติว่า แฟน ๆ เกมนี้ยังมีอยู่เยอะ และต้องการเกมใหม่ ๆ
คราวนี้มาพูดถึง Fan Service ในเกม Final Fantasy VII Remake กันครับ เริ่มจาก การเปลี่ยนภาษา เกมนี้สามารถตั้งค่าเสียงให้เป็นเสียงญี่ปุ่น ซับอังกฤษได้ คือบางคนซีเรียสเรื่องเสียงพากษ์เกมญี่ปุ่น ว่าต้องเป็นเสียงญี่ปุ่นสิ เกมนี้ทำได้ครับ ที่บางคนซีเรียสเพราะ Voice Acting ของญีปุ่นมันเทพตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว มันมีความเป็นญี่ปุ่น คือเวลาเราดูอนิเมะญี่ปุ่น หรือดูซีรีย์ญี่ปุ่น สำเนียงในการพูดบางตัวละครจะรู้เลย อย่างเสียงตัวเอก จะมีความวัยรุ่น ใส ๆ พอตัวละครวัยกลางคน ต้องทำเสียงเก็ก ๆ แบบนายพลญี่ปุ่นไรงี้ แทบจะทุกเรื่องมันต้องมีเสียงตัวละครชายวัย 30+ ทำเสียงเก็ก ๆ อ่ะ ตัวละครหญิง ก็จะมีเสียงใส ๆ น่ารัก แหลม ๆ 1 คน อีกคนจะเป็นเสียงห้าว ๆ เหมือนคุณแม่พร้อมบวกได้ทุกเมื่อ ซึ่ง Final Fantasy VII Remake มีครบครับ ใครชอบเสียงญี่ปุ่น เกมนี้มีให้ เพราะผู้สร้างคือคนญี่ปุ่นเลย
แต่ถามผม ผมไม่ค่อยอินกับเสียงญี่ปุ่นของเกมนะ คือเมื่อก่อน ผมโคตรอิน แต่มันยุค PS1, PS2 พอมาเล่นเกมในยุคถัด ๆ ไป เกมส่วนใหญ่คือมาจากฝั่งตะวันตกทั้งนั้น เอาง่าย ๆ เกม Exclusive ของ PlayStation 4 ส่วนใหญ่ที่ดัง ๆ ก็มาจากฝั่งตะวันตก ไม่ว่า The Last Of Us Part II, Uncharted 4, Horizon Zero Dawn, God Of War และเกมส่วนใหญ่ถ้าเป็นเสียงญี่ปุ่น ต้องซื้อ Zone 2 เลย ทำให้ช่วงที่เล่นเกมเสียงญี่ปุ่นในยุค PS4 หายากมาก สุดท้ายก็มาอินเสียงภาษาอังกฤษมากกว่า ไม่ใช่อะไรครับ คือบางทีก็ขี้เกียจอ่านซับ ตอนนี้ฝึกภาษาอยู่ เกมไหนที่ปิดซับตั้งแต่แรกก็ฟังแต่เสียงเอา ก็ฟังรู้เรื่องนะ

เสียงพากษ์ภาษาอังกฤษ พูดตรงนี้เลยครับ คาดไม่ถึงว่าเกมญี่ปุ่นยุคนี้เค้าลงทุนหา Voice actor ดี ๆ และทำออกมาได้ดีจับใจขนาดนี้ เหมือนเป็นเกมฝรั่งเลย ย้อนไปยุคเก่า ๆ พวกเกมญี่ปุ่นที่พอร์ทเป็นภาษาอังกฤษ แล้วใช้ Voice acting คือกากมาก ๆ เช่นเกม Rockman X4 พอมาเป็นเวอร์ชั่นอังกฤษ (Megaman X4) เสียง X มันอ่อนวัยไปป่ะ ไหนจะเสียง Zero ที่อยากบ่นว่า อีหยังวะ พอมาเกม Final Fantasy XII Voice acting ก็ยังไม่ดี คือดีกว่ายุค PS1 แต่ยังไม่พอ จนกระทั่งเกมญี่ปุ่นที่แปลอังกฤษอย่าง Final Fantasy VII Remake ทำ Voice Acting ออกมาเจ๋งเวอร์ ๆ คือเหมือนให้คนตะวันตก Proof งานอีกที คือเสียงที่ออกมา มันได้อารมณ์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นเลย คือมั่นใจใจคุณภาพของ Voice Acting ภาษาอังกฤษครับ แต่ของญี่ปุ่น มาตรฐานของเค้าดีอยู่แล้ว มันต้องมีเสียงตะโกนอะไรของเค้า หรือไม่ก็เสียงแหลม ๆ หวาน ๆ ดูน่ารัก
แต่ผมแนะนำ ให้ใช้เสียงญี่ปุ่นดีกว่าครับ เพราะด้วยท่าทาง กิริยาของตัวละครอย่าง Tifa หรือ Aerith มันดูไม่เป็นฝรั่งเลย ทั้งคู่มีความเป็นญี่ปุ่น ไหนจะทำท่าทำทางสดใสน่ารักแบบการ์ตูนอนิเมะ ซึ่งตรงนี้ วัฒนธรรมตะวันตกมันไม่มีกัน มันดูขัด ๆ เวลาเห็นตัวละครพูดอังกฤษ แต่ทำท่าแบบไอดอล ทำหน้าทำตาบ้องแบ๊ว มันได้เหรอ เพราะหน้าตาตัวละคร เอาจริง ๆ โมเดลออกไปทางลูกครึ่งเอเชียกับตะวันตกด้วย ทำให้เวลาพูดอังกฤษก็ได้ พูดญี่ปุ่นก็ดีเหมือนกัน
Theme Setting
ต่อไปพูดถึง Theme setting ของเกม Final Fantasy VII ทั้งเวอร์ชั่น Original และ Remake ถือเป็นความกล้าของผู้พัฒนาที่เลือกใช้ Theme โลกความจริง ถ้า 4 ภาคแรก ก็จะเป็นยุคกลาง ภาค 5 น่าจะเป็นยุคหลังยุคกลาง ภาค 6 เป็นยุคเครื่องจักรไอน้ำ มีการเล่าเรื่องเวทมนตร์ที่เริ่มจะเป็นของ Rare ผู้คนยุคใหม่เริ่มไม่มีพลังเวทมนตร์ ส่วนภาค 7 ก็จะเป็นโลกความจริง แต่เป็นยุค 90 (เวลาในเกมจริง ๆ เกิดปี 2007) เพราะเกม Final Fantasy VII สร้างในช่วงยุค 90 ก็จะอิงเรื่องราว ความคิดในยุคนั้น

แต่ก่อนจะพูดถึง Theme เกม Final Fantasy VII แบบเจาะลึก เดี๋ยวเล่า Theme บอสตัวสุดท้ายของแต่ละภาค ภาค 1-5 มาทรงเดียวกันเลยครับ คือ เจ้าแห่งความมืด มาเป็นเทพนิยายยุคกลางเลย มาภาค 6 ค่อยเปลี่ยน Theme หน่อย ตัวร้ายคือกลุ่มจักรวรรดิ ตัวเอกคือ Magitek Kight อย่าง Terra ตัวร้ายสุด ก็เป็น Magitek Knight อย่าง Kefka คือใช้ Concept ตัวเอกคือคนของกลุ่มตัวร้ายและกลับมาจัดการ และตัวร้ายสุดคือคนในกลุ่มเดียวกัน
พอมาในภาค 7 กลุ่มตัวร้ายฉีกแนวเลยครับ แต่คง Concept ผู้มีอำนาจ คือ “กลุ่มวิศวกรที่ผันตัวเป็นนายทุน” อย่าง Shinra Electric Power Company ซึ่งมันเริ่มเข้าใกล้ความเป็นประชาชนมากขึ้น แต่ก่อนก็จะเป็นพวกรอยัลเลย และภาค 7 หยิบ Concept แบบเดียวกับภาค 6 ในเรื่องตัวเอกและตัวร้าย คือเป็นพวกเดียวกันอย่าง SOLDIER (ต้องเขียนตัวใหญ่หมด) คือ Cloud ก็เป็นกลุ่ม SOLDIER ส่วน Sephiroth ก็เป็นกลุ่ม SOLDIER เหมือนกัน แล้วก็ตีกันเอง
ดังนั้น โครงเรื่องที่ตัวเอกเคยเป็นคนของกลุ่มตัวร้ายและกลับมาทรยศ เราจะเห็นใน Final Fantasy VII Remake ครับ ส่วนการนำเสนอความเป็น Sci Fi ใน Final Fantasy VII ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร มีให้เห็นในภาค 4 แล้ว แล้วเห็นชัดในภาค 6 พอมาภาค 7 คือ Sci Fi ชัด ๆ
แล้วในเมื่อ Theme Setting คือโลกปัจจุบันยุค 90 ที่วิถีชีวิตมันไม่ยุคกลาง ประมาณ ตื่นเช้ามาก็แปรงฟัน ทำกับข้าว มีเตาแก๊ส มีสลัม มีเรื่องการเมืองอย่างความคิดโตมาพอเรียนจบต้องไปทำงานกับบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง SEC มีการแบ่งพรรคพวก มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในสลัม มีธุรกิจมืด มียิมให้ออกกำลังกาย อาจจะไม่เหมือนยิมบ้านเราที่เปิดเพลง EDM ก็มีให้เห็นในเกมนี้ ทำให้คนที่เล่นเกมนี้เข้าถึงได้ง่ายครับ ไม่ได้ Fantasy จ๋า ๆ ไม่ได้ยุคกลางจ๋า ๆ ขนาดนั้น และกลายเป็นภาคที่หลาย ๆ คนพูดถึงและให้เป็นหนึ่งในภาคที่ดีที่สุดของ Final Fantasy ไปเลย

ส่วนเรื่องเหนือธรรมชาติในเกมก็มีให้เห็น แล้ว Reaction เวลาคนธรรมดาเห็นอะไรแบบนี้ก็ต้องกลัว คือมันสมเหตุสมผล ลองนึกสภาพเราเดินที่สยามแล้วอยู่ ๆ พวกหุ่นยนต์ของ Shinra มาเดินเพล่นพล่าน เป็นเรา เราก็กลัว จริงไหมครับ
ทีนี้พูดถึงความยากของการพัฒนาเกม Final Fantasy VII Remake ผมพูดตรงนี้เลย ว่ายากมาก ๆ สิ่งที่ผมจะพูด เป็นการคาดเดาและวิเคราะห์ของผมเอง ไม่ได้มาจากปากผู้พัฒนาแต่อย่างใด ถ้ามีอะไรรู้สึกน่าเสริม หรือน่าถกเถียง ก็ Comment พูดคุยกันได้ครับ คือการพัฒนาเกม Remake ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ เพราะ Remake มันไม่ใช่ Remaster ไม่ใช่ Reboot คือ Remake เป็นการสร้างเกมใหม่ที่ยังไม่เริ่มต้นจาก 0 เพราะยังมีข้อมูลตัวละคร, เมือง, อาวุธ, มอนส์เตอร์, เนื้อเรื่องและอะไรอย่างอื่นที่มี Ref จากตัว Original และอย่าลืมว่า มีคนหลายคนเค้าเล่นเกมตัว Original มาก่อนอยู่แล้ว ถ้าจะเล่นเกม Remake ได้ ตัวเกม Remake ต้องมีอะไรที่มากกว่าตัว Original ถึงจะยอมเล่น
ซึ่งสิ่งที่ภาค Remake มีเลยคือ ตัวละคร เป็น 3D ไม่ Polygon หยาบ ๆ มี Voice acting, มีความเป็นเกมเกรด AAA, ฉากดูสวยไปหมด คือถ้ามาดูตัวเกม Original ในเวลานี้ ตัวเกมมันล้าสมัยมาก ๆ ไหนจะไม่มี Voice acting ตัวละครเหมือนหลุดจาก Roblox แล้วเคลื่อนไหวแบบหยาบ ๆ ไหนจะกราฟฟิคตกยุค ไหนละ BG หยาบและแตก และสิ่งที่เกมเมอร์ต้องการใน Remake มันต้องมีอะไรที่มากกว่าตัวเกม Original อย่างที่ผมกล่าวไป
แต่ประเด็นอยู่ที่ “เนื้อเรื่อง” เพราะเกม Remake ใช้เนื้อเรื่องเดิม (แต่มีการเปลี่ยนการจบเป็นแบบใหม่) จะสปอยให้พรุนยังไงก็รู้ว่าเรื่องราวตอนจบมันจะเป็นยังไง ดังนั้น พวกเกม Remake ต้องทำ Gameplay ให้ผู้เล่นรู้สึกชอบและติดพันจนอยากจะเล่นหลาย ๆ รอบ ซึ่งเกมมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว Gameplay is King อย่าเอา Story is King เด็ดขาด

สงสัยไหม ทำไมเกม Dragon Ball หลาย ๆ ภาค อย่างภาคล่าสุด Kakarot ทำไมแฟน ๆ Dragonball ชอบ เพราะเค้าต้องการประสบการณ์ที่มันมีทั้งความเป็น Dragonball และต้องสนุกอย่างที่ควรเป็น และเกมนี้ก็ทำสำเร็จครับ
ย้อนมาที่เกม Final Fantasy VII Remake Content ที่ให้มา ถ้าดูโดยรวม ผมพอใจมาก ๆ ครับ ซึ่งความพอใจมันมีหลายระดับ แต่ถ้าไม่เคยสัมผัสเกม Final Fantasy VII มาก่อน หรือไม่เคยดูหนัง Final Fantasy VII Advent Children มาก่อน จะไม่อิน ไม่ใช่ให้ไปเล่นเกม Final Fantasy VII ตัว Original มาก่อนหรือดู Advent Children ก่อนแล้วค่อยไปเล่น Final Fantasy VII Remake อันนี้ไม่เอานะครับ คือที่อิน มันอินแบบ Nostalgia มันไม่ใช่อินแบบผ่านไปไม่ถึงเดือนแล้วอิน มันต้องเคยเล่น เคยดูเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ต้องระดับนั้นเลยครับ เอาง่าย ๆ เกมนี้เหมาะกับแฟนเกม Final Fantasy VII ที่ได้เล่นและได้ดูก่อนหน้านั้น และต้องเวลานั้นจริง ๆ มีอารมณ์ร่วมกับเกมในตอนเด็ก ๆ หรือวัยรุ่นจริง ๆ
ที่พูดแบบนี้เพราะหลาย ๆ ฉากในเกมจะสอดแทรกอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ในเกมที่แล้ว และใครได้ดู Final Fantasy VII Advent Children เมื่อ 14 ปีก่อนมาเล่นเกม Final Fantasy VII Remake จะอึ้งกับช่วงที่เห็น Flashback ผมเห็นภาพใน Flashback แล้วต้องอุทานออกมาว่า “เชี่ย FFVII Advent Children ก็มาว่ะ”

คือตัวเกมเล่นกับตัวเราเรื่อง Nostalgia ด้วยครับ นอกจากการเอาภาพจาก FFVII Advent Children มาทำเป็น Flash Back แกล้งคนดู ยังมีเรื่องเสียงเพลงประกอบเกมที่เพราะไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ยุค 8 Bit แล้ว จนมายุคปัจจุบัน เพลงก็ยังเพราะ รักษามาตรฐานได้ดีมาก ๆ ซึ่งเกม Final Fantasy จุดเด่นคือเพลงครับ เพลงมันไม่ได้เพราะอย่างเดียว แต่มันตรงกับสถานการณ์ในตอนนั้น อย่างเพลง Theme ของบริษัทชินระ ก็สื่อถึงบริษัทสายเทาได้เป็นอย่างดี ใน YouTube พวก Comment ใต้เพลง Shinra Electric Power Company ก็เล่นมีม Meanwhile และตามด้วยชื่อบริษัทหรือองค์กรที่มันออกแนวปีศาจซะหน่อย ถ้าอย่างของอเมริกา ก็จะล้อว่า Meanwhile at Trump tower
แต่ทางผู้พัฒนาเล่นกับคนเล่นอีกแล้วครับ คือเวลาสู้กับบอส ตอนช่วงแรก ๆ ก็จะปล่อยเพลงเวอร์ชั่นใหม่ที่ฟังแล้วไม่โอเค แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ เพลงเริ่มใกล้เคียงกับเวอร์ชั่น Original อย่างน่าตกใจครับ อย่างเพลง J-E-N-O-V-A ตอนแรกมาเป็นออเครสต้าเลย อารมณ์แบบ Epic ๆ หน่อย เหมือนสู้กับบอสใน Darksouls แต่พอช่วง late game เท่านั้นแหละ อื้อหือ ดนตรีใกล้เคียงกับต้นฉบับมาก ทำให้เกิด Nostalgia ได้ง่าย

อาจจะสงสัยว่า อะไรคือ Nostalgia มันคืออารมณ์รำลึกความหลังครับ แบบว่าเวลาเราเคยไปตรงนี้มาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พอกลับมาใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกเดิม ๆ มันทำให้เรารูสึกเต็มอิ่มในใจ อะไรประมาณนี้ ความรู้สึกมันอธิบายไม่ถูก และบอกไม่ได้ว่ามันไปในทางดีใจหรือเสียใจ
การนำเสนอที่โคตรอึ้ง!!!
ถามเพื่อน ๆ หน่อย ช่วงไหนของเกมเพื่อน ๆ ชอบมาก ๆ อย่างน้อยเพื่อน ๆ ก็ต้องชอบฉากที่ Cloud กับ Tifa ไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ขอบ่นนิดนึง คือใน Remake บทมันปูเรื่องให้ Cloud อยู่กับ Aerith ต่อเนื่องไปหน่อย แต่ช่วงหลัง ใครจิ้น Cloud กับ Tifa สมหวังกันได้เลย แต่บทหวาน ๆ คือมันน้อยไปหน่อย มีแต่ตอนอยู่ด้วยกันทำภารกิจ
บางคนอาจจะชอบทุกอย่าง ใช่ครับ ทุกอย่างในเกม เพราะมันเป็น 3D ที่มันเหมือนจริง ตัว Original คือมันเป็น Polygon หยาบ ๆ การเคลื่อนไหวแบบแข็ง ๆ พอมาเล่น Remake ช่วง Cutscene มันสื่ออารมณ์ได้ดีมาก ลองไปเทียบกับ Original ที่มีแต่ตัวหนังสือ Dialogue อย่างเดียว ไม่มีเสียงพูด มุมกล้องก็มุมเดียว มันสื่ออารมณ์ได้ยาก
แล้วเรื่องอารมณ์ของเนื้อเรื่องคือมีทุกรสเลยครับ บทจะตลกก็โคตรตลกเลย อย่างฉาก Don Corneo หรือฉากที่ Cloud กับ Tifa เจอกัน Scene แรก Tifa พูดเป็นห่วง Cloud อย่างโน้นอย่างนี้ แต่ Cloud ถามตรง ๆ ว่า “แล้วเงินล่ะ” ชอบขัดอยู่เรื่อยเลยเนอะ บทเศร้าก็เศร้าเลย แต่ก็ไม่ได้เศร้ามาก ไม่เหมือนภาค 10 อันนั้นทำร้ายจิตใจคนเล่นมาก 5555

สำหรับผม ฉากที่ผมประทับใจที่สุดคือฉาก Shinra Museum ครับ ที่ประทับใจมากคือ ฉากนี้จะทำให้เรารู้จักกับ Shinra มากขึ้น คืออึ้งกับใน HQ ไม่พอ ยังอึ้งกับ Museum อีก ใน HQ ที่อึ้งคือความรู้สึกตอนเข้าไปสแกนบัตร มันเหมือนตอนผมเข้าไปทำงานประจำที่ต้องมีบัตรเข้าตึกถึงจะขึ้นได้ ฟิลลิ่งแบบนั้นเลย ส่วน Shinra Museum รายละเอียดมันเหมือนเราเข้าพิพิธภัณฑ์จริง ๆ พวก Virtual Museum อะไรพวกนี้ มันไม่ใช่ Art Museum แต่มันคือ Museum ของบริษัทระดับโลก ซึ่งผมเองก็เคยเข้า Museum แบบบริษัทหรือองค์กรแนว ๆ นี้ครับ แม้ว่ามันจะเป็นแบบเคลื่อนที่ก็ตาม ที่จำได้ก็ Museum ของเบียร์ Heiniken ที่โชว์ตรง Siam Center และพวกบริษัทเครือ BOI ที่เค้าจัด BOI Fair เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยอยู่เลย พวกรูปปั้นประธาน ภาพในอดีต ของสำคัญของ Shinra คือเก็บครบ กลิ่นอายเป็นแบบบริษัทใหญ่ ๆ ออกแนวเถ้าแก่ ๆ หน่อย ๆ 55555 เออ อารมณ์แบบนั้น

Video Presentation ที่อยู่ตรงจอ LED และแนะนำบอร์ดบริหาร แล้วเอาคนนู้นคนนี้แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ พูดตรง ๆ นะ คือมันโคตรกลิ่นอายบริษัทใหญ่ ๆ เลยครับ คือ Video Presentation แบบนี้ผมเจอบ่อยเวลาผมไปงาน Trade Fair บริษัทแนว ๆ อุตสาหกรรมใน Scene ที่แนะนำบอร์ดบริหาร หน้าจะเคร่งขึม ถ่ายหน้าตรง แล้วก็ต้องมีรูปถ่ายยืนเรียงเป็นแถวกระดาน ยืนตรง ๆ คือมันมีความเป็นองค์กรมาก ๆ อันนี้ชอบ Nomura ทำการบ้านได้ดีเลย

พอเข้ามาช่วงแนะนำ Midgar ที่เป็นโมเดลใหญ่ ๆ อันนี้รู้สึกจะเป็น Propaganda ของทาง Shinra อันนี้สัมผัสได้ และมีการแต่งเรื่องราวต่าง ๆ ที่บิดเบี้ยวไปจากความจริง เช่น พลัง Mako ไม่มีวันหมดไปจากโลก แต่ความจริงคือ มันมีวันหมด (อ้างอิงจาก FFVII Advent Children ที่พูดในช่วงแรก ๆ ของเรื่อง) แต่การนำเสนอให้คนเล่นอย่างเราหลงเชื่อ อันนี้คือทำได้ดีเลยทีเดียว คือเข้าเล่นฉากนี้ ทำให้เรารู้ว่า อะไรคือ Shinra ต้นกำเนิดของ Shinra คืออะไร ทำไม Shinra ต้องสร้างอะไรแบบนี้ขึ้น แล้ว Shinra ทำเพื่อมนุษยชาติหรือเพื่อตัวเอง อารมณ์แบบเราเข้าไปในองค์กรแล้วเราโดนล้างสมองอะไรแบบนั้น แต่จะว่าไป ด้วยสภาพสังคมและการเมืองในเกม Final Fantasy VII ก็พอจะมองออกว่า Shinra คือพวก Elite หรือกลุ่ม VIP ที่กำลังเบียดเบียนประชาชนในสลัมของ Midgar อยู่ และการปล่อยชิ้นส่วน Sector 7 สร้างโศกนาฏกรรมทั้งสลัมและเมืองที่อยู่บนชื้นส่วน Sector 7 โดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น
ใครอยากดูว่า Shinra Museum เป็นยังไง ดูอันนี้ได้เลยครับ
มุมกล้องคือโคตรข้อเสีย
พูดชมเกมนี้มามากแล้ว คราวนี้ขอบ่นบ้างอะไรบ้างครับ จุดอ่อนของเกมนี้ที่ชัดเจนมาก ๆ คือ “มุมกล้อง” ครับ คือระบบเกมมันใช้ปุ่มสี่เหลี่ยมในการโจมตี เลยต้องมีการล็อกเป้า และตัวล็อกเป้านั่นแหละ ทำให้มุมกล้องสั่นไปสั่นมา แล้วถ้าไม่สั่งล็อกเป้า เวลาเล่นจะลำบากมาก เพราะการกดปุ่มโจมตี ต้องกดปุ่มสี่เหลี่ยม แล้วเวลาจะบังคับมุมกล้อง มันทำไม่ได้เต็มที่ น่าจะทำแบบเกมตระกูล Darksouls ที่ปุ่มโจมตีคือ R1, R2 ทำให้เราสามารถบังคับอนาล็อกได้ง่าย คือถ้าอยากจะเล่น FFVII Remake แล้วเวลาสู้ สามารถหันมุมกล้องได้ ต้องหาจอยโปรที่เซตปุ่มได้ครับ แต่จอยแบบนั้นราคาแพงเอาเรื่องอยู่ เริ่มต้นก็ประมาณ 3,000 กว่าบาทโน่นเลย
ยิ่งถ้าศัตรูเป็นพวกบินว่อนหรือกระโดดโหยง ๆ ข้ามตัวละครไปมา มุมกล้องมันก็หมุนฟึบ ๆ ๆ จนเวียนหัว และพอไม่ล็อก มันก็เล่นโจมตีลำบากอีก แบบนี้ควรให้ปุ่มโจมตีคือปุ่ม R1 หรือ R2 ดีกว่า
หลาย ๆ อย่างยังไม่เคลียร์
ส่วนเรื่องเนื้อเรื่องเกม Final Fantasy VII Remake ผมพูดตรง ๆ ว่า “อีหยังวะ” ได้ไหม คือมันอิหยังวะทั้งคนเล่นภาค Original และคนไม่เคยเล่น ถ้าเป็นคนเคยเล่น Original สิ่งที่อิหยังวะคือ เนื้อเรื่องมันไม่เหมือนเดิมในบางจุด เหมือนทางผู้พัฒนาเค้าต้องการให้เนื้อเรื่องของ Final Fantasy VII Remake ไปในเส้นทางที่ 2 และใช้ Whisper เป็นตัวแทนของแฟนเกมที่ต้องการให้เนื้อเรื่องในภาค Remake ตรงกับ Original ทุกประการ และสิ่งที่ตามมาคือ ช่วงตอนจบของภาค Remake Zack ยังไม่ตาย แล้วก็จบแบบนั้น พร้อมกับการผจญภัยต่อใน Part 2
แต่สำหรับคนไม่เคยเล่น Original มาก่อน ความอิหยังวะจะเยอะมากกว่าคนเคยเล่นเลยครับ ที่ผมพูดในมุมมองของคนเล่นแล้ว จริง ๆ ผมไม่ได้เล่นภาค Original ครับ ผมเอาคำพูดของคนเคยเล่นภาค Original มารวม ๆ กันเฉย ๆ แต่คนไม่เคยเล่นอย่างตัวผม หลายอย่างทิ้งปริศนาเยอะมาก ๆ ครับ เดี๋ยวจะไล่เลยว่ามีอะไรบ้าง

- ทำไม Cloud ปวดหัวและเห็นภาพอดีตบ่อยจัง (มันเป็นตั้งแต่ Advent Children แล้ว)
- Sephiroth เป็นอะไรกับ Cloud คือมันโผล่มาบ่อย มันต้องมี Something แน่นอน
- ทำไม Cloud เห็นภาพ Tifa ตอนวัยรุ่นที่สลบต่อหน้า Cloud
- ภาพถุงขนมตรา Avalanche ที่ลอยมาในฉากที่ Zack โผล่มาจะสื่อถึงอะไร
- ทำไมทหารของ Shinra บางคนที่ใส่เครื่องแบบถึงรู้จักกับ Cloud และไม่ทำร้าย Cloud
- ทำไม Cloud เห็นภาพใน Final Fantasy VII Advent Children และเหมือนเป็นภาพในอนาคต
- ฯลฯ
ที่นึกได้ มีแค่นี้ครับ อ้อ พูดถึง FFVII Advent Children สักหน่อย ไหน ๆ ก็พูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว พูดตรง ๆ นะ ครั้งแรกที่ดูตอน ม.5 หรือเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ผมดูเรื่องนี้แล้วไม่รู้เรื่องเลย 555555 ที่ดูตอนนั้นแล้วชอบ คือ Tifa กับ Aerith น่ารักโคตร
แค่นั้นแหละ
แล้วตอนสู้กับ Sephiroth ช่วงท้ายเกมของ FFVII Remake นี่มันตอนสู้ใน Advent Children ชัด ๆ ไหนจะ Whisper อะไรอีก คืองงมะ ทำไมต้องมีผีมาหลอกหลอน คือความสงสัยพวกนี้มันจะหมดไป ถ้าอ่านบทความของเพจ Final Fantasy Thailand ครับ
แต่ถามคนทั่วไปที่ไม่เคยแตะตัวเกม Original อย่างผม ตอนแรกผมก็งง ๆ กับมันพักใหญ่เลย ที่มาของเรื่องราวในอดีตของ Cloud มันเป็นยังไง เพราะมันชอบทิ้งปมอยู่เรื่อย และจังหวะที่ต้องพูด ดันมาใส่มุกปวดหัว และเป็นข้ออ้างที่จะเก็บเรื่องราวที่ค้างคาแล้วเรื่องอื่นก็มาเปลี่ยนความสนใจ มันออกแนวละครไปหน่อย เรื่องที่จะพูด ดันไม่พูด ดันมีอะไรแบบ… แล้วก็ Event ใหม่มาแทรก ทำให้เรื่องในอดีตของ Cloud สำหรับคนที่ไม่เคยเล่น มันไม่เคลียร์

ซึ่งพอเจอแบบนี้เข้า ก็ต้องถามแล้วว่า ตกลงเล่นตัว Original ก่อนเล่นภาค Remake ไหม คือจะเล่นก็เล่นได้ครับ เนื้อเรื่องก็จะไปแบบ A แต่ต้องมีเวลาว่างในชีวิตที่โคตรเยอะ ถึงจะอิน หรือไม่ก็ดู Gameplay ของคนอื่นที่อัพใน YouTube ดูยาาในขณะที่ภาค Remake เนื้อเรื่องไปทาง B แต่หลาย ๆ อย่างก็มาจาก A เยอะ แต่ถ้ารู้สึกอยากรู้อะไรที่ค้างคาใจ ก็อ่านลิงค์ของบทความของ Final Fantasy Thailand ก็ได้ อ่านแล้วรู้เลย แล้วเตรียมเล่นภาคต่อ
คำถามต่อมาคือ เมื่อเล่นจบระดับ Normal แล้ว มีแรงจุงใจให้เล่นระดับ Hard เลยไหม ถ้าจะเล่นเพื่อเอา Trophy ก็เล่นได้ครับ และต้องใช้เวลาอีกประมาณ 40 กว่าชั่วโมง (อาจจะน้อยกว่านั้นถ้าไม่ดู Cutscene เลย) แต่ระดับ Hard ความท้าทายจะเยอะกว่าเล่นระดับ Normal พอสมควร มันเป็นเกม Action ไปเลย ต้องดูจังหวะเข้าตี จังหวะถอย หรือต้องรู้การเซต Materia ใครที่ชอบอะไรง่าย ๆ คงไม่เหมาะ รู้สึกว่า ตัวเกมตอนเซต Materia หรือตอนอัพเลเวลอาวุธมันซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการ Set นานพอสมควร คือคิดว่าต้องเซตอะไรตรงไหนจนปวดหัวเลย เอาจริง ๆ การใช้ Item ไม่ได้ในระดับ Hard เป็นอะไรที่ยากเอาเรื่องครับ โดยเฉพาะ ถ้า MP หมด ไม่มีอะไรให้เติม
สรุป
เขียนนานมาก เป็นสัปดาห์เลยมั้ง ขอสรุปตรงนี้เลยคือ เกม Final Fantasy VII Remake อยากให้เล่นกัน เป็นเกมที่สนุกมาก ๆ เกมนึง อันนี้เฉพาะแฟน ๆ ที่เคยผ่านเกม Final Fantasy VII มานะครับ ยิ่งถ้าใครเล่นตัว Original ใน PS1 จะยิ่งอินมาก ๆ ดูทรงแล้วเค้าขายแฟนเกม Final Fantasy VII อ่ะครับ ฉาก Fan service เยอะ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อน เล่นตัว Remake เลยก็ได้ แต่จะเกิดความสงสัยหลาย ๆ เรื่องที่คาดว่า ทีมงานอาจจะใส่ใน Season ต่อไป แต่เอาจริง ๆ หลาย ๆ ปมคือมันเยอะ มันน่าจะคลี่คลายในตัวเกม Season 1 ได้แล้ว และหลาย ๆ เรื่องที่ยังไม่พูดถึง และตัวละครที่ยังไม่มีการกล่าวถึง อย่าง Yuffie, Cid และยังไม่ขี่เรือเหาะเลยด้วยซ้ำ
ที่น่าสนใจคือ เนื้อเรื่องตัว Remake อาจจะแตกต่างเพราะ Whisper ซึ่งมีหน้าที่บังคับให้เราอยู่ในเนื้อเรื่อง A ตาม Original พ่ายแพ้เราซะงั้น เนื้อเรื่องใน Season 2 อาจจะแตกต่างจาก Original
ถ้าจะให้คะแนน ผมให้ 9 คะแนนครับ ตัด 1 คะแนนเรื่องการกดปุ่มโจมตีด้วยปุ่มสี่เหลี่ยม นี่มันยุคไหนแล้ว เกมไหนที่เน้นสู้ระยะประชิดยังโจมตีแบบกดสี่เหลี่ยม ผมลดคะแนนหมดอ่ะ มันไม่ถนัด
Leave a Reply